มติสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 190 ต่อ 18 ให้ถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ยับยั้งระงับความเสียหายโครงการจำนำข้าว และให้ตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี คือการลงโทษทางการเมืองต่อนักการเมือง ที่ดำเนินนโยบายซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างร้ายแรง
มิใช่เป็นการทำลายล้าง ไล่ล่าตระกูลขินวัตร ให้พ้นไปจากการเมืองไทย อย่างที่ยิ่งลักษณ์ และบริวารของระบอบทักษิณ บิดเบือน
การที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีเดียวกัน คือการดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามหลักผู้ใดกระทำสิ่งใดๆ ไว้ ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น โดยให้โอกาสยิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้คดี พิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างเต็มที่
มิใช่เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทำลายล้าง ไล่ล่าตระกูลชินวัตร อย่างที่ยิ่งลักษณ์และบริวารของระบอบทักษิณบิดเบือน
ทั้งมติถอดถอนของ สนช.และคำสั่งฟ้องคดีของอัยการสูงสุด เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง ให้นักการเมืองได้ตระหนักว่า จะต้องรับผิดชอบต่อนโยบายที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างถึงที่สุดไม่อาจลอยนวลได้อย่างสบายๆ เหมือนในอดีต
ถือว่าเป็นความก้าวหน้าของระบอบการเมืองที่เกิดขึ้นในยุคที่บ้านเมืองไม่ได้เป็นประชาธิปไตยโดยรูปแบบ ไม่ใช่การถอยหลังอย่างที่ยิ่งลักษณ์และบริวารของระบอบทักษิณบิดเบือนให้ร้าย
สำหรับบริวารของระบอบทักษิณที่กำลังมีความหวังว่า จะมีโอกาสได้เป็นหุ่นเชิดตัวใหม่ของทักษิณ เพราะ หมดคนในตระกูลชินวัตรที่จะมารับบทนี้แล้ว อย่าลืมว่านี่คือ ราคาที่ต้องจ่าย แลกกับอำนาจวาสนาชั่วคราวที่ทักษิณจะหยิบยื่นให้
ดูชะตากรรมของยิ่งลักษณ์ในวันนี้ เพื่อคำนวณดูว่า คุ้มไหม และถ้าคิดว่าชัยชนะแบบถล่มทลายจากการเลือกตั้งที่จะต้องมีขึ้นแน่ จะเป็น “ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก” ที่ใช้เป็นข้ออ้าง ในการลุแก่อำนาจ ทำอะไรตามใจชอบ เพราะว่า มีเสียงข้างมาก โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม ก็ขอให้นึกถึง การถอยร่นแตกกระเจิงอย่างไม่เป็นกระบวนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หลังพฤติการณ์ลักหลับผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมให้พี่ชาย ตอนตี 4 ของวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ชะตากรรมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในวันนี้ หากพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมแล้ว ก็จะเห็นว่าเกิดจากฝีมือของพี่ชายร่วมสายโลหิตตระกูลชินวัตรทั้งสิ้น
นับตั้งแต่การตัดสินใจของพี่ชายที่เลือกน้องสาวคนนี้เป็นหุ่นเชิด เพราะดูดีที่สุดในตระกูลแล้ว และมั่นใจได้ว่า จะทำตามใบสั่งได้ดีที่สุด โดยไม่มีปากไม่มีเสียง ไม่มีข้อโต้แย้ง ทำให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองเพียง 49 วัน
พี่ชายคนนี้แหละที่เป็นผู้กำหนดนโยบายโครงการรับจำนำข้าวขึ้นมาให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์รับไปดำเนินการ คนไทยคงจะจำกันได้ถึงป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ที่มีข้อความว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” และการให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์บส์ ของ นช.ทักษิณด้วยความภาคภูมิใจว่า เขานี่แหละเป็นผู้คิดนโยบายรับจำนำข้าวทั้งหมดและมอบหมายให้รัฐบาลไปดำเนินการ
พี่ชายคงรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นโยบายและการดำเนินการหลายๆ อย่างที่ตนสั่งการผ่านรัฐบาลหุ่นเชิดสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย จึงพยายามป้องกันไม่ให้ความผิดมาถึงตัวน้องสาว ด้วยการสร้างกลไกให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษ์มอบหมายงานสำคัญทั้งหมดให้ผู้อื่นรับไป และเขียนโพยให้น้องสาวท่องจำว่า “เป็นไปตามระบบการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งมีการมอบหมายงานให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปดำเนินการ....” เพื่อเป็นข้ออ้างว่า ไม่รู้ไม่เห็น เพราะได้มอบหมายงานให้ผู้อื่นไปแล้ว ดังที่เธอมักจะอ้าขึ้นเป็นเหตุผลอยู่เสมอ
แต่คนเป็นผู้นำประเทศไม่มีทางที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการทุจริตความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
โครงการรับจำนำข้าวคงจะดำเนินต่อไปหรืออาจจะยุติลง เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นเกินจะเยียวยา แต่รัฐบาลและยิ่งลักษณ์คงจะลอยนวลไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ หากว่า รัฐบาลยังมีอำนาจอยู่ต่อไปอีก แต่เป็นเพราะว่าพี่ชายอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว จึงสั่งการให้สมุนบริวารผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ยกโทษคดีคอร์รัปชั่นให้กับตัวเอง อย่างเร่งรีบรวบรัด ลักหลับลงมติเห็นชอบกันในสภาฯ ยามวิกาล
นั่นแหละคือฟางเส้นสุดท้ายที่มวลมหาประชาชนเรือนล้านทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาสำแดงพลังไล่รัฐบาลยิง่ลักษณ์จนแตกพ่าย ก่อนจะถูกตอกฝาโลงด้วย คสช.
ชะตากรรมของยิ่งลักษณ์ในวันนี้ที่ถูกถอดถอน ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องถูกตัดสินจำคุก หรือต้องหนีไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเหมือนพี่ชาย จึงไม่ใช่เป็นเพราะถูกไล่ล่าทำลายล้างให้พ้นไปจากการเมือง แต่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของพี่ชาย ที่ใช้น้องสาวเป็นเครื่องมือ และความไม่ประสีประสา ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีของตัวเองต่างหาก
“ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์ติดคุก” คือ ชะตากรรมของยิ่งลักษณ์ในวันนี้