ผ่าประเด็นร้อน
การเปิดเผยล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา ของ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สรรเสริญ พลเจียก ในฐานะตัวแทนของ ป.ป.ช. ในคณะทำงานร่วมกับทางตัวแทนของอัยการสูงสุด ได้ยืนยันว่าที่ประชุมโดยฝ่ายอัยการสูงสุดได้เห็นชอบที่จะฟ้องอาญา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะมีการนำเสนอสำนวนที่มีการเพิ่มเติมการสอบสวนพยานตามที่มาการเสนอมา ส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป ซึ่งได้รับการยืนยันว่าจะพิจารณาสั่งฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยไม่ชักช้า
ข่าวการฟ้องอาญา น่าจะเป็นข่าวร้ายที่สุด สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ พี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นคนชักนำเธอมาเป็น “นอมินีทางการเมือง” เมื่อสองสามปีก่อน เป็นข่าวร้ายและน่าลุ้นยิ่งกว่าการที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะลงมติถอดถอนจากตำแหน่งทางการเมืองในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า (วันที่ 23 มกราคม) เสียอีก
เพราะถ้าศาลตัดสินว่าผิดจริง นั่นก็หมายความว่า “คุก” และยังมีผลต่ออนาคตทางการเมืองที่ต้องดับวูบลงแบบเลี่ยงไม่ได้ หากยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 มาตรา 35(4) ที่กำหนดเป็นโรดแมปของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้มีคุณสมบัติต้องห้ามเข้าสนามการเมืองตลอดชีวิต
แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายามยื้อกันทุกวิถีทาง เพื่อให้การสั่งฟ้องยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด ทั้งในเรื่องของการเสนอเพิ่มเติมพยานเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างไร เมื่อเวลาผ่านไป และด้วยสายตาเฝ้ามองอย่างไม่กะพริบของสังคมทำให้ต้องมาถึงบทสรุปแบบนี้จนได้ นั่นคือการเห็นชอบสำนวนในการสั่งฟ้องคดีอาญา ต่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าต้องรอเวลาอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ส่วนหลักการและข้อสรุปสำคัญได้ผ่านไปแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าล่าสุด วันที่ 21 มกราคม รองอัยการสูงสุด วุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานพิจารณาสำนวนร่วมกับทาง ป.ป.ช. จะออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ถึงอย่างไรถือว่าทุกอย่างใกล้มาถึงบทสรุปเต็มทีแล้ว รวมถึงอัยการด้วยที่จะต้องแบกรับความกดดันจากสังคมยุคใหม่ กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด และระแวงมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เมื่อพิจารณาจากหลักฐานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากการลงมติด้วยเสียงเอกฉันท์ ก็ย่อมยืนยันได้ดีถึงน้ำหนักของพยานหลักฐานที่สามารถเอาผิดอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ได้ ขณะเดียวกันหากพิจารณาในแง่ดีการที่ทางฝ่ายอัยการสูงสุดได้เสนอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ของสำนวนมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้มีความ “แน่นหนา” มากขึ้นไปอีก
สำหรับคดีนี้ถือว่ามีความกดดันด้วยตัวของมันเอง อันเนื่องมาจากมูลค่าความเสียหายที่สูงมาก นั่นคือไม่น้อยกว่า 6 แสนล้านบาท มีชาวนาต้องฆ่าตัวตายไปนับสิบคน และที่ผ่านมามีการท้วงติงคัดค้านให้ยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดทอนความเสียหาย ป้องกันทุจริต ทั้งเป็นหนังสือแบบลายลักษณ์อักษร ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สารพัด แต่ฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้นกลับไม่สนใจ เนื่องจากมั่นใจในพลังงานอำนาจ และมี “มวลชนส่วนตัว” หนุนหลัง
แต่เมื่อทุกอย่างพลิกผันตัวเองต้องตกจากอำนาจ และนำไปสู่การฟ้องคดีอาญาดังกล่าว มันก็น่าเป็นเรื่องที่ต้องหวั่นไหว เพราะคดีอาญาปลายทางก็คือ “เสี่ยงคุก” ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ใช้เวลาไม่นานนัก ก็รู้ผลแล้ว
ดังนั้น ถ้าบอกว่านาทีนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “คอพาดเขียง” แล้วก็ว่าได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากหลายกรณีที่เกี่ยวเนื่องกัน ทั้งที่คดีถอดถอนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะลงมติกันในวันที่ 23 มกราคม แต่ก่อนหน้านั้นสองวัน ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ได้มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด อดีตรัฐมนตรี ข้าราชการและเอกชนที่เป็นเครือข่ายของเธอในคดีที่ทุจริตการขายข้าวแบบจีทูจี ซึ่งจากการระบุของกรรมการ ป.ป.ช. เจ้าของสำนวน วิชา มหาคุณ ว่า ทำให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาทเช่นเดียวกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะเพิ่มความกดดันทางอ้อมในการลงมติ “ถอดถอน” ได้อีกทางหนึ่ง
ดังนั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว การที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติถอดถอนถือเป็นเรื่องเคร่งเครียดพออยู่แล้ว แต่การที่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา เป็นเรื่องที่เครียดยิ่งกว่า เพราะถ้า “ศาลฎีกาฯ” ชี้ว่าผิดก็จบเห่ เสี่ยงคุกสถานเดียว !!