แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. แสดงความมั่นใจว่า อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะถูกถอดถอนด้วยคะแนนเสียงเกิน 132 เสียง เชื่อแยกแยะได้ระหว่างปรองดอง กับการลงมติ แต่ “สมชาย” เห็นแย้งบอกไม่ง่าย ชี้ สนช. ไม่ได้เอาคลิปมาพิจารณา เพราะต้องทำในสภาเท่านั้น ส่วน “สุริยะใส” ซัดไม่ให้เกียรติ สนช. พยายามตีรวนเล่นนอกกติกา คาดเจ้าตัวได้แต่อ่านโพยเหมือนเดิม
วันนี้ (18 ม.ค.) นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านการเมือง และแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีการลงมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ในวันที่ 23 ม.ค. นี้ สนช. จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะถูกถอดถอนด้วยคะแนนเสียงเกิน 132 เสียง
ส่วน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ก็มีสิทธิ์จะถูกถอดถอนด้วย เนื่องจากความถูกต้องชอบธรรมอยู่กับฝ่ายยื่นถอดถอน ขณะที่การแถไถบิดเบือนอยู่กับฝ่ายผู้ถูกกล่าวโทษ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ข้อเท็จจริงที่ปรากฏทำให้เห็นความกระจ่างมากขึ้นว่า กรณีนายนิคมและนายสมศักดิ์นั้น ความผิดสำเร็จแล้ว แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ปี 2550 ถูกยกเลิกไป ก็ไม่ช่วยให้ทั้งสองคนพ้นผิด
ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้ว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ก็มีประจักษ์พยานความเสียหายมหาศาลทางการเงินยืนยันได้ ผนวกกับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ควรทำของคนเป็นนายกรัฐมนตรี จึงยากจะหลีกเลี่ยง ขณะที่ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ได้ดี ชี้แจงประเด็นกระจ่าง ตอบคำถามอย่างมีน้ำหนักมีความอดทนและมีวุฒิภาวะ เทียบกับอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว นายวิชา ได้ทั้งใจและได้ทั้งมือของ สนช. เพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนีการตรวจสอบของสภา เมื่อวันศุกร์ที่ 16 ม.ค. เนื่องจากการตอบข้อซักถามต้องใช้สติปัญญาตนเอง ไม่สามารถอ่านโพยที่เตรียมมาได้ ทีมงานก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะคำถามส่วนใหญ่ถามตรงต่อนายกฯ บางคำถามเกี่ยวพันกับจิตสำนึกรับผิดชอบที่คนอื่นตอบแทนไม่ได้ เพราะ สนช. ต้องการฟังคนที่ถูกกล่าวโทษ ไม่ต้องการฟังลูกขุนพลอยพยัก ส่วนนายนิคมนั้นทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดีที่น่ารังเกียจ ขณะที่นายสมศักดิ์ก็ยืนกรานในความผิดพลาดของตนเองอย่างไม่มีเหตุผล
“ดังนั้น เชื่อว่า การลงมติวันนั้น จะเป็นวิจารณญาณประวัติศาสตร์ของ สนช. คาดว่า สนช. จะมีวินิจฉัยไปในทางแยกการปรองดองออกจากการลงมติ เพราะการลงมติเป็นการรักษาบรรทัดฐานทางคุณธรรมของสังคมไทย เป็นเส้นแบ่งสำคัญระหว่างความฉ้อฉล กับสุจริตธรรมว่าอะไรจะเหนือกว่ากัน ซึ่งจะชี้ชะตากรรมอนาคตได้ด้วยว่าการปฏิรูปกระบวนการทางการเมือง ยังมีความหวังได้หรือไม่ ขอประเมินว่า คะแนนถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเกิน 132 เสียงแน่ ส่วนอีกสองคนนั้นก็มีสิทธิ์ลุ้นถึง 132 เสียงได้เช่นกัน” นายประสาร กล่าว
ด้าน นายสมชาย แสวงการ เลขานุการวิป สนช. และแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า การที่อดีตรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ออกมาตอบคำถาม สนช. ทางเว็บไซต์ยูทิวบ์ ทาง สนช. ก็ไม่ได้เอาคลิปเหล่านั้นมาพิจารณาอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการะบวนการถอดถอนเลย เพราะต้องพิจารณาในสภาเท่านั้น และถึงแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นคนมาตอบคำถามลงคลิปเอง สนช. ก็เอามาพิจารณาไม่ได้ อยากถามพวกเขาเหล่านั้นเป็นอะไรกัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการถอดถอนเลย กลับมาตีโพยตีพาย เดือดร้อนแทนนาย ตนเห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เห็นจะร้อนอกร้อนใจอะไรเลย พวกเขาทำเหมือนอยากจะสร้างผลงานเพื่อเอาใจนายเสียมากกว่า
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ผลการถอดถอนจะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครรู้ได้ เสียง สนช. 132 เสียงในการถอดถอนก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ถามว่ากลุ่ม 40 ส.ว. วันนี้ใน สนช. มีอยู่แค่กี่คนเอง จะไปมีบทบาทอะไรได้ การถอดถอนที่ผ่านมาหลายครั้ง ไม่เห็นมีคนกลุ่มใดออกมาวุ่นวายเหมือนครั้งนี้เลย การถอนถอนของ สนช. ก็เป็นไปตามระบบ พิจารณาอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมอยู่แล้ว ขอฝากไปถึงคนเหล่านั้นว่า อย่าทำตัวเป็นตลกหน้าฉาก มันดูไม่งามเพราะเคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรี เสียภาพลักษณ์หมด เมื่อก่อนเวลานักข่าวถามคำถามเห็นได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ได้สักคน
ส่วน นายสุริยะใส กตะศิลา อาจารย์คณะนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) เห็นว่าการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ไปตอบข้อซักถาม สนช. และส่งทนายความไปล้วงคำถามแล้วมาตั้งทีมตอบผ่านยูทิวบ์แทนนั้น เป็นการไม่ให้เกียรติ สนช. ไม่เคารพกระบวนการตรวจสอบถอดถอนและถือเป็นการดูถูกประชาชน เพราะเป็นการทำให้ประชาชนเสียโอกาสที่จะได้รับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาจากการซักถามกันในสภา เพื่อประกอบการตัดสินใจของประชาชน
ทั้งนี้ การให้ทีมทนายความไปชี้แจงตอบคำถามผ่านยูทิวบ์ แม้เป็นสิทธิที่ทำได้ แต่สะท้อนอุปนิสัยของคนกลุ่มนี้ที่พยายามตีรวนกระบวนการถอดถอน หรือถนัดเล่นนอกกติกา และที่เป็นการดูถูกประชาชนมากที่สุด คือ การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลือกมาเฉพาะวันแถลงเปิดคดีกับวันแถลงปิดคดี เพราะ 2 วันนี้ เป็นการพูดฝ่ายเดียวโดยไม่มีการซักถาม และก็คงเป็นไปตามคาดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์คงมายืนอ่านโพยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“สิ่งเหล่านี้สะท้อนเจตนาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทีมงานที่จะใช้กระบวนการถอดถอนเป็นเวทีการเมืองปราศรัยฝ่ายเดียว เพื่อโน้มนำใหัประชาชนเชื่อและคล้อยตามด้วยโวหารการเมืองที่กำหนดผ่านโพยมาล่วงหน้า และเป็นไปได้ว่าการแถลงปิดคดีในวันที่ 21 ม.ค. นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คงผูกปมการเมืองบางอย่างไว้เคลื่อนไหวกดดัน หาก สนช. ลงมติถอดถอนตนเอง การไม่ใส่ใจกระบวนการถอดถอนหรือมองข้ามคำถาม ข้อสงสัยของ สนช. แบบนี้ เชื่อว่าจะทำให้การตัดสินใจของ สนช. สายกลางๆ หรือที่ยังไม่ตัดสินใจ จะสามารถตัดสินใจไดง่ายขึ้นว่าจะลงมติแบบไหน” นายสุริยะใส กล่าว