“ประยุทธ์” ย้ำเดินหน้าสัมปทานรอบ 21 โยนให้กระทรวงพลังงานชี้แจง อ้างฝ่ายต่อต้านให้ข้อมูลไม่ถูกต้องสร้างความเชื่อผิดๆ ระบุเอกชนลงทุนไปต้องผ่านกระบวนการมากมาย ไม่ใช่ขุดเจาะได้ผลผลิตกันง่ายๆ วอนทุกฝ่ายใจเย็น หวั่นล่าช้าไทยจะเผชิญวิกฤตพลังงาน ดักคออย่าใช้ปมถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองปลุกระดมกัน ขอให้เชื่อมั่น สนช.
วันนี้ (16 ม.ค.) เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ที่ออกอากาศผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยกล่าวตอนหนึ่งถึงการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า คณะกรรมการชุดนี้เป็นการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันของทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม โดยที่ประชุมในวันนั้นมีมติในการวางกรอบการทำงานแก้ไขปัญหาทุจริตออกเป็น 4 ด้านด้วยกัน เรียกง่ายๆ ว่า นโยบาย 4 ป. ก็คือ ป้องปราม ปราบปราม ปลูกจิตสำนึก และประชาสัมพันธ์ เบื้องต้นจะมีการวางมาตรการป้องกันต่างๆ เช่น การแก้ไขระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง การนำมาตรการจัดซื้อจัดจ้างสากลมาประยุกต์ใช้ ข้อตกลงสัญญาคุณธรรม (Integrity Pact) และการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
“รัฐบาลทราบดีว่าพี่น้องประชาชนมีความห่วงใยต่อปัญหาคอร์รัปชัน และอยากเห็นคดีความทุจริตต่างๆ มีข้อยุติโดยเร็ว ซึ่ง คสช. และ รัฐบาล กำลังเร่งรัดติดตามความคืบหน้าของคดีทุจริตคอร์รัปชันหลายคดีที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และประชาชนทุกคนต้องร่วมกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส โดยเฉพาะสื่อมวลชนต้องช่วยเป็นสื่อให้ทุกคนและสังคมทราบถึงการกระทำผิดด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปถึงการหารือร่วมกับตัวแทน 25 องค์กรธุรกิจเอกชน เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมาด้วย ว่า เป็นที่เข้าใจตรงกันว่าเศรษฐกิจในโลกปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจะกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ให้เม็ดเงินเหล่านั้นเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อภาคธุรกิจนักลงทุนต่างๆ สำหรับปัญหาการเบิกจ่ายงบลงทุนที่มีความล่าช้านั้นจะให้คณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ระดับจังหวัด คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานได้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยกันเร่งรัดผลักดันการเบิกจ่ายในงบลงทุนในโครงการต่างๆ
นายกฯ กล่าวอีกว่า การจัดระเบียบสังคมมีหลายเรื่องที่กำลังดำเนินการ ทั้งธุรกิจสีเทาที่ไม่ถูกกฎหมาย และในเรื่องของการประชานิยมที่ไม่ถูกต้อง การจัดระเบียบถนนหนทาง การบุกรุกที่ดิน การปราบปรามยาเสพติด ผู้มีอิทธิพลและการพนัน ซึ่งที่ผ่านมาทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบโดยตรงให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มีอาชีพในการหาเช้ากินค่ำ เราจำเป็นต้องยุติให้ได้ เพื่อปรับโครงสร้างประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ เราต้องสร้างความเข้มแข็งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ที่ผ่านมา ประเทศไทยขาดการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิต และภาคการเกษตรมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันรัฐบาลกำลังเดินหน้าเรื่องนี้อยู่ เบี้องต้นมีการดำเนินการในส่วนของตลาดกลางสินค้าการเกษตรชุมชน ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนทั่วประเทศ ที่ได้นำเทคโนโลยีปุ๋ยสั่งตัดมาใช้ในพื้นที่ชลประทาน แก้ปัญหาปุ๋ยผิด ปุ๋ยปลอม ปุ๋ยแพงอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การเกษตรแบบเบ็ดเสร็จอีกกว่า 800 ศูนย์ทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางให้ความรู้สนับสนุนการเกษตรให้กับพี่น้องเกษตรกรเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สำหรับการส่งเสริมการลงทุนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยว่า หลังจากวันที่ 22 พ.ค. 57 เป็นต้นมา ได้มีการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพิ่มขึ้นจำนวนมาก มีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 1,080 โครงการ อนุมัติไปแล้วกว่า 1,050 โครงการ คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 680,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เรายังต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และได้มอบหมายให้บีโอไอพิจารณาปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งหากมีความจำเป็นอาจจะต้องมีการอนุญาตให้สามารถนำเข้าแรงงานได้เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในช่วงปลายปีนี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยว่า การท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องมือหลักที่จะนำรายได้เข้าสู่ประเทศได้เร็วที่สุด รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดทำโครงการท่องเที่ยววิถีไทย เพื่อรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย จะทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่อง ต่อผลิตภัณฑ์ สินค้าและการบริการต่างๆของไทย นอกจากนี้ได้สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯพัฒนาท่าจอดเรือสำราญ ท่าเรือยอชต์ ที่ จ.ภูเก็ต และจังหวัดอื่นๆเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นช่องทางใหม่ในการเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการพัฒนาตลาดน้ำ โดยการพัฒนาคูคลองให้น้ำใสเพื่อจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆและต่อเนื่องกับชุมชนที่เป็นวิถีไทยด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การดำเนินการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศนั้น ในเส้นทางคมนาคมขนส่งหลายโครงการมีความคืบหน้าไปมากแล้ว เช่น เส้นทางรถไฟทางคู่ 6 เส้นทาง เป็นระยะทาง 873 กิโลเมตร เริ่มดำเนินการแล้วในหลายด้าน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ส่วนของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายในหลายเส้นทางได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ สำหรับท่าอากาศยานหลายแห่งได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงไปแล้ว ทั้งท่าอากาศยานภูเก็ต ก็คาดว่างจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย. นี้ ส่วนท่าอาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 และการสร้างทางวิ่งสำรองนั้น กำลังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนการออกแบบเพื่ออนุมัติโครงการ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และการพัฒนาศูนย์ขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ก็จะให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ทันภายในกลางปี
“เรื่องการพัฒนาขีดความสามารถทั้งหมดนี้ ได้สั่งการไปหมดแล้ว ทุกภาคส่วนจะต้องดูแลให้เกิดขึ้นโดยเร็ว และทั้งนี้จะต้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติมีความต่อเนื่องสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ต่างๆรวมไปถึงการโซนนิ่งพื้นที่ ส่วนราชการต้องบูรณาการร่วมกัน หากต่างคนต่างทำนั้น ก็จะทำให้เกิดการแบ่งแยกผลประโยชน์แล้วก็เกิดความไม่ทั่วถึงแล้วก็ทำไม่ได้เพราะกฎหมายก็มีอยู่หลายตัว เพราะฉะนั้นต้องพยายามทำให้ได้ อะไรเกิดก่อนได้ก็เป็นสิ่งที่ดี ทุกคนต้องคำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก เราต้องนำร่องให้ได้ในปีนี้ให้ได้” นายกฯระบุ
สำหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาและชาวสวนยางนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การจ่ายเงินไร่ละหนึ่งพันบาท ก็จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จให้ได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตามในเรื่องของการวางรากฐานเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว เช่น การปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่จะช่วยในการกระจายรายได้ ภาษีมรดก หรือภาษีอื่นๆก็อยู่ในขั้นตอนพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่วนภาษีที่ดินปลูกสร้างก็อยู่ในการพิจารณารายละเอียดของกระทรวงการคลัง รวมไปถึงการปรับฐานเงินเดือนของข้าราชการ ลูกจ้างที่มีรายได้น้อย การเพิ่มเงินดูแลผู้เกษียณอายุ คนชรา ได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นภาระการเงินการคลังของประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้พูดถึงการแก้ปัญหาโครงสร้างราคาพลังงานด้วยว่า การดำเนินการในอดีตที่ผ่านมาทำให้กลไกราคาพลังงานในตลาดบิดเบือน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันกับแก๊ส วันนี้รัฐบาลก็ต้องนำงบประมาณต่างๆ เข้าไปอุดหนุน เพราะหากอุดหนุนเชื้อเพลิงบางชนิดมากเกินไป จะทำให้เกิดการใช้พลังงานผิดประเภท และเกิดภาระในการต้องนำเข้าน้ำมันดิบหรือแก๊สเป็นจำนวนมากเกินความต้องการ และยังมีการลักลอบนำไปขายในประเทศเพื่อนบ้านอีก ซึ่งควบคุมได้ยาก เพราะฉะนั้นเราต้องสะท้อนต้นทุนแท้จริง ความต้องการแท้จริง ไม่อยากจะให้ส่งผลกระทบต่อการสร้างภาระหนี้สินขอประเทศ ช่วงก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามากองทุนน้ำมันติดลบถึง 3 หมื่นล้านบาท ขณะนี้สามารถรักษาสมดุลทำให้กองทุนน้ำมันกลับมามีค่าเป็นบวกได้แล้ว ซึ่งเป็นเงินทุนที่จะรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน ในอนาคตหากราคาในตลอดโลกมีการปรับขึ้นลง ก็จะสามารถทำให้ไม่ให้ผันผวนมากนัก เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน
ส่วนกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีมติคัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลจะนำมติของ สปช.มาหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่สิ่งสำคัญก็คือ ข้อมูลจะต้องถูกต้องและเข้าใจกัน ในเรื่องของทางปฏิบัติเป็นเรื่องของ ครม. เป็นเรื่องของกระทรวงพลังงานที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องของการดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เพียงพอ และไม่ให้ประสบปัญหาในเรื่องของวิกฤตด้านพลังงานในอนาคต การอนุรักษ์พลังงานและความมั่นคงพลังงานต้องไปด้วยกัน อนุรักษ์พลังงานคือใช้อย่างประหยัด มีพลังงานทดแทน ความมั่นคงก็หมายความว่า ประเทศไทยต้องไม่ขาดแคลนพลังงาน เราจะต้องมีแหล่งพลังงาน หรือมีการเตรียมการด้านพลังงานไว้ทดแทนเมื่อยามขาดแคลน เมื่อยามเกิดปัญหาโดยทันที เราต้องคิดในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้ด้วย เราจะต้องเตรียมการให้พร้อม เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีการลงทุนอะไรไว้เลย แม้ว่าจะอนุมัติไปแล้ว เปิดสำนักงานไปแล้ว ก็อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ ต้องใช้เวลา และศึกษาผลกระทบต่างๆ ทั้งการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (เอชไอเอ) ใช้เวลาอีกมากมาย เพราะฉะนั้นถ้าเราช้าไปเรื่อยๆ อนาคตเราที่มีความเสี่ยงด้านพลังงานก็สูงขึ้น อาจจะเผชิญกับการขาดแคลน รัฐบาลก็ต้องมาวางรากฐานเรื่องนี้ให้ดี
“ต้องใช้เวลาในการเตรียมการยาวนานหลายปีกว่าจะลงทุนได้ กว่าจะตัดสินใจได้ว่า ใครจะทำใครจะเริ่ม กว่าจะขุดเจาะ กว่าจะสำรวจแล้วก็ขุดเจาะ กว่าจะกลั่นออกมา ไม่ใช่ไม่ต้องลงทุนใหม่ ต้องใช้เวลาและสร้างความเชื่อมั่น อันนี้ก็ขอให้ใจเย็นๆกันบ้าง มีความขัดแย้งกัน เรื่องอะไรต่างๆ ก็ต้องแก้ไขกัน รับฟังกันบ้าง นำข้อมูลที่ถูกต้องมาหารือ มาพูดคุย ถ้าเอามูลที่ไม่ถูกต้องมาพูดคุยหารือก็สร้างความเชื่อไปอีกคนละแบบ เพราะฉะนั้นคงจะต้องให้กระทรวงพลังงานมาชี้แจงให้ทราบว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรกันเลย” นายกฯกล่าว
สำหรับการพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ สนช. ในขณะนี้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ขอทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนว่า การที่จะทำผิดกฎหมายนั้นต้องแยกแยะ ปนกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผิดถูกอย่างไร ถูกจริยธรรมหรือไม่ถูกอย่างไร ผิดกฎหมายอย่างไรก็ว่ากันมา จะมีกฎหมายที่ผิดทั้งอาญาและแพ่ง หรือผิดทางการเมือง ตรงนี้สังคมต้องแยกแยะ อย่าให้ใครมาปลุกระดมให้เกิดความไม่เข้าใจกันอีก ต้องเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน บางครั้งกฎหมายอาจจะมีช่องทางที่ทำให้เกิดการต่อสู้กัน ทั้งถูกและผิด เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเชื่อมั่นในความสามารถหรือคุณสมบัติของ สนช. สปช. อะไรต่างๆ ที่เราเข้าไปทำงานในเวลานี้ สังคมต้องพยายามเข้าใจ
คำต่อคำ : รายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” วันที่ 16 มกราคม 2558
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกคน ก่อนอื่นผมขอแสดงความห่วงใยไปยังประชาชนที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ที่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาภัยหนาวอยู่ ผมได้สั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทั้งภาคธุรกิจ องค์กรเอกชนต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยในครั้งนี้ด้วยนะครับ
สำหรับวันนี้มีอยู่หลายประเด็นด้วยกันที่ผมอยากจะเรียนชี้แจง เพื่อสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชน ในเรื่องของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันนั้น ผมได้จัดตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช. เพื่อจะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมเข้าด้วยกัน โดยคณะกรรมการนี้จะทำงานควบคู่กันกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ที่จะมุ่งเน้นในเรื่องของการปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐ แต่วันพุธที่ผ่านมานั้นได้มีการประชุมนัดแรก และที่ประชุมได้มีมติในการวางกรอบการทำงานแก้ไขปัญหาทุจริตออกเป็น 4 ด้านด้วยกัน เรียกง่ายๆ ว่า นโยบาย 4 ป คือในด้านการป้องปราม เป็นการวางมาตรการการป้องกันต่างๆ เช่น การแก้ไขระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง การนำมาตรการจัดซื้อจัดจ้างสากลมาประยุกต์ใช้ ข้อตกลงสัญญาคุณธรรม และการแก้ไขกฎหมายต่างๆ เช่น เพิ่มบทลงโทษให้ครอบคลุมทั้งผู้ให้และผู้รับ เพิ่มมาตรการดำเนินการกับข้าราชการที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน และการปฏิรูปโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ เพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
ในด้านการปราบปรามนั้น รัฐบาลทราบดีว่า พี่น้องประชาชนมีความห่วงใยต่อปัญหาคอร์รัปชัน และอยากเห็นคดีความทุจริตต่างๆ มีข้อยุติโดยเร็ว ซึ่ง คสช.และรัฐบาล กำลังเร่งรัดติดตามความคืบหน้าของคดีทุจริตคอร์รัปชันหลายคดีนะครับ ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เปิดช่องทางให้ประชาชนชาวไทยและต่างชาติ สามารถแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดในเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ผ่านศูนย์รับแจ้งเบาะแสของทำเนียบรัฐบาล และส่วนราชการต่างๆ
ในด้านการปลูกจิตสำนึกนั้น ประชาชนทุกคนต้องร่วมกันในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยต้องร่วมกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส โดยเฉพาะสื่อมวลชน ต้องช่วยเป็นสื่อให้ทุกคน และสังคมทราบถึงการกระทำความผิดและสุดท้าย ในด้านการประชาสัมพันธ์ ให้รับรู้รับทราบทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับในเรื่องการเร่งรัด และการเบิกจ่ายงบประมาณ จากการพบปะหารือกับตัวแทนนักธุรกิจหลายกลุ่มเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า เศรษฐกิจในโลกปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยและการส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจะกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้เม็ดเงินเหล่านั้นเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความมั่นใจกับภาคนักธุรกิจ นักลงทุนต่างๆ
สำหรับปัญหาการเบิกจ่ายงบลงทุนที่มีความล่าช้านั้น จะให้คณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ และเอกชน ระดับจังหวัดที่เรียกว่า กรอ.จังหวัด คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ อบจ.ที่มีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยกันเร่งรัดผลักดันการเบิกจ่ายในงบลงทุนโครงการต่างๆ ทั้งนี้จำเป็นต้องอาศัยทั้งภาครัฐ และภาคประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ นั้น เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้นให้ติดตามทางนี้ต่อไป
ในเรื่องของการจัดระเบียบสังคมนั้น มีหลายอย่างด้วยกันไม่ว่าจะเป็นระเบียบเรียบร้อย การทำธุรกิจสีเทาที่ไม่ถูกกฎหมาย และในเรื่องของการประชานิยมที่ไม่ถูกต้อง หลังจากวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น คสช. และรัฐบาลได้มีการปฏิรูปโครงสร้างในหลายๆ ด้าน ได้กำหนดนโยบายวางแนวทางในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความยั่งยืน โดยการลดโครงการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์นะครับ สร้างความเสียหายให้ระบบการเงิน การคลัง การปราบปรามคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และการจัดระเบียบสังคมในเรื่องของการจัดระเบียบถนนหนทาง การบุกรุกที่ดิน การปราบปรามยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล และการพนัน อาจจะทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมากพอสมควร เม็ดเงินเหล่านั้น ส่งผลกระทบโดยตรงให้กับผู้มีรายได้น้อย ที่มีอาชีพในการหาเช้ากินค่ำ แต่ในเรื่องการปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องยุติให้ได้ เพื่อปรับโครงสร้างประเทศ ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และหาอาชีพรายได้ทุกผู้ทุกฝ่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และดีขึ้นต่อไปนะครับ ในระยะเวลาอันสั้นพยายามทำเต็มที่ในเรื่องนี้
ในเรื่องของการสร้างความเข้มแข็ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศเพื่ออนาคตนั้น เนื่องจากที่ผ่านมานั้นประเทศไทยขาดการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิต และภาคการเกษตรมาเป็นเวลานานปัจจุบันนั้น รัฐบาลกำลังเดินหน้าในการสร้างความมั่นคงเข้มแข็งให้แก่พี่น้องเกษตรกรในระยะยาว เช่น การส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ที่จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ อีกทั้งยังเป็นการผลิตตามความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นที่นิยมสินค้าเพื่อสุขภาพ อาจทำให้ผลิตผลได้ราคาดี ขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีการสั่งให้พัฒนาตลาดกลาง สินค้าการเกษตรชุมชน ในท้องที่ เพื่อให้สร้างความรู้ความเข้าใจถึงกลไกตลาด และกำหนดราคาที่เหมาะสมด้วยตนเองนะครับ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ผู้บริโภคสามารถไปซื้อสินค้าที่สดใหม่ได้โดยตรงจากผู้ผลิตในราคาที่เป็นธรรม เป็นพื้นที่ผู้ผลิตสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆ ในการที่จะผลิตสินค้าเกษตร ในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับคนในชุมชนไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ขายก็สามารถเดิน หรือขี่จักรยาน ขับรถไปยังตลาดที่อยู่ใกล้ๆ ประหยัดทั้งเวลา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีการดำเนินการในเรื่องของการโซนนิ่ง การกำหนดพื้นที่ การเปลี่ยนแปลง การเพาะปลูก การจัดตั้งธนาคารปุ๋ย ธนาคารเมล็ดพันธุ์ การจัดหาตลาดใหม่ๆ เพื่อจะส่งออกสินค้าการเกษตรเหล่านี้เป็นต้น ในปีนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดตั้งศูนย์จัดการดิน ปุ๋ยชุมชน รวมทั้งหมด 882 แห่ง ในทุกอำเภอทั่วทุกประเทศ 1 อำเภอ 1 ศูนย์ ซึ่งกรมส่งเสริมฯ ก็ได้นำเทคโนโลยีปุ๋ยสั่งตัดมาใช้ในพื้นที่กรมชลประทานภาคกลาง 20 จังหวัด ก็พบว่า ชาวนาสามารถลดปุ๋ยเคมีได้ 47 เปอร์เซ็นต์ และผลิตข้าวเพิ่มขึ้นอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ต้นทุนในการปลูกข้าวจะลดลงเฉลี่ย 400-500 บาท เพื่อจะแก้ปัญหาปุ๋ยผิด ปุ๋ยปลอม ปุ๋ยแพงอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนั้น ได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การเกษตรแบบเบ็ดเสร็จอีกกว่า 800 ศูนย์ทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางให้ความรู้และสนับสนุนการเกษตร หรือกับพี่น้องเกษตรกรเติบโตได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนนะครับ
ในเรื่องของการพัฒนาฝีมือแรงงาน ผมรับทราบมาตอนนี้นั้น ปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจมาก เนื่องจากแรงงานเราขาดแคลนในทุกภาคอุตสาหกรรม หากเราไม่มีการเตรียมการไม่มีการพัฒนาแรงงาน ปัญหาแรงงานดังกล่าวนั้นจะทวีมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของการประกอบการ รัฐบาลได้อนุมัติโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานไปแล้วหลายโครงการ ผ่านทั้งกระทรวงเกษตรฯ ในเรื่องของการอบรมความรู้ต่างๆ ให้เกษตรกร กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นในระดับอาชีวะ หรืออุดมศึกษา ในการฝึกอบรมเพิ่มทักษะในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการพัฒนาอาชีวศึกษา ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เตรียมการสู่เออีซีในปีหน้าด้วย ได้มีการจัดทำความร่วมมือทวิภาคีระหว่างสถานศึกษา และผู้ประกอบการในการผลิตแรงงานฝีมือไปฝึกที่โรงงานเลย ในการใช้เครื่องไม้เครื่องมือ และมีตัวอย่างแบบอย่าง หรือมีเครื่องยนต์เครื่องจักรที่ให้ฝึกได้โดยตรง
ทั้งนี้ เพื่อจะเตรียมการป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมภายในประเทศ ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี ในจุดยืนที่ว่านักเรียนอาชีวะนั้นจะต้องเป็นกลุ่มที่สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทย
ในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนนั้น ได้มอบหมายให้บีโอไอไปพิจารณาปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ อาจจะต้องมีการอนุญาตให้สามารถนำเข้าแรงงานได้ หากมีความจำเป็น และไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคง และมีผลกระทบต่อแรงงานภายในประเทศ เป็นเรื่องที่จำเป็นนะครับ
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดรับเออีซีในปลายปีนี้ การลงทุนที่ผ่านมานั้น ของบีโอไอมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก แต่เราต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังวันที่ 22 พฤษภาฯ 2557 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากกว่า 1,080 โครงการ รัฐบาลได้มีการอนุมัติโครงการไปแล้วกว่า 1,050 โครงการ คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 6.8 แสนล้านบาท
สำหรับต้นปีนี้การท่องเที่ยวถือว่า เป็นเครื่องมือหลักที่จะนำรายได้เข้าสู่ประเทศได้เร็วที่สุด รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้จัดทำโครงการท่องเที่ยววิถีไทย Discover Thainess เพื่อรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย จะทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องต่อผลิตภัณฑ์ สินค้า และการบริการต่างๆ ของไทย ซึ่งจะนำรายได้มาสู่ชุมชน และท้องถิ่น เช่น เรื่องสมุนไพร เครื่องสำอาง ยาพื้นบ้าน อาหาร ผ้าไหม สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
นอกจากนี้ ก็ได้สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้มีการพัฒนาท่าจอดเรือสำราญ ท่าจอดเรือยอชต์ที่ จ.ภูเก็ต และจังหวัดอื่นๆให้เป็นรูปธรรม ที่มีศักยภาพ เพื่อจะเป็นช่องทางใหม่ในการเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการพัฒนาตลาดน้ำ โดยการพัฒนาคูคลองให้น้ำใส เพื่อจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ และต่อเนื่องกับชุมชนที่เป็นวิถีไทยด้วย
ในเรื่องของการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานนั้น การดำเนินการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศที่จะต้องเตรียมการไว้ในวันนี้นั้น ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่า ต้องเตรียมดำเนินการในการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง หลายโครงการมีความคืบหน้าไปมากแล้ว เช่น เส้นทางรถไฟทางคู่ เส้นทางเป็นระยะทาง 873 กิโลเมตร เริ่มดำเนินการแล้วในหลายด้าน จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 3 นี้
ในส่วนของรถไฟฟ้านั้นหลายเส้นได้ก่อสร้างไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน สายสีม่วง บางใหญ่ - เตาปูน และส่วนต่อขยายต่างๆ เช่น สายสีเขียวเข้ม แบริ่ง - สมุทรปราการ สายสีน้ำเงิน บางซื่อ- ท่าพระ หัวลำโพง - บางแคได้มีความคืบหน้าไปมาก
สำหรับท่าอากาศยานหลายแห่ง ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงไปแล้ว เช่น ท่าอากาศยานภูเก็ต คาดว่าจะปรับปรุงแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนปีนี้ ส่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 และการสร้างทางวิ่งสำรองนั้น กำลังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนการออกแบบเพื่ออนุมัติโครงการ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า
สำหรับการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และการพัฒนาศูนย์ขนส่ง ตู้สินค้าทางรถไฟ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างให้ทันภายในกลางปี 2558 นะครับ โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเชื่อมต่อจุดยุทธศาสตร์ที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาค โดยจะเชื่อมต่อกับด่านชายแดนที่สำคัญที่ติดต่อกับเพื่อนบ้าน ซึ่งรัฐบาลมีแผนจะพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ คราวนี้ได้มีการอนุมัติพื้นที่เป้าหมายไปแล้ว 5 พื้นที่นำร่องบวกหนองคายด้วย
ทั้งนี้ จะมีการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ในการลงทุนจัดตั้งศูนย์ one stop service ให้ง่ายต่อการติดต่อ และการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ โดยมีการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนของประเทศเข้ากับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนนี้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาภูมิภาคอาเซียนของเรา ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ ช่วยให้เอกชนที่ไปลงทุนในพื้นที่ต่างๆ ได้รับความสะดวกในการผ่านแดนของแรงงาน ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้วบางส่วน เช่น เตรียมการในเรื่องของการสแกนบัตรแรงงานที่ข้ามฝั่งเข้ามาทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับ ในเขตชายแดนหลายพื้นที่ อันนี้จะช่วยประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบการที่จะเข้าไปลงทุน ตั้งโรงงานตามเขตแนวตะเข็บชายแดนทั้ง 2 ฝั่ง เลยนะครับ ในเรื่องค่าแรง ค่าใช้จ่าย และคงจะต้องมีการจัดเตรียมที่พักให้กลุ่มแรงงานด้วยนะครับ
นอกจากเรื่องแรงงานแล้ว ก็จะเป็นเรื่องของการจัดตั้งเป็นศูนย์รวบรวมสินค้า แลกเปลี่ยนสินค้า รับซื้อผลิตผลทางการเกษตร ประเทศเพื่อนบ้านด้วย เพื่อจะนำมาปรับปรุงคุณภาพและส่งออกไปประเทศที่ 3 หรือนำมาเป็นต้นทุน อย่างที่เคยกราบเรียนมาแล้ว
ในเรื่องของการพัฒนาขีดความสามารถทั้งหมดนี้ ได้สั่งการไปหมดแล้ว ทุกภาคส่วนจต้องดูแลให้เกิดขึ้นโดยเร็ว และทั้งนี้จะต้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ มีความต่อเนื่อง สอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคมนาคมขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน ระบบลอจิสติกส์ต่างๆ รวมไปถึงการโซนนิ่งพื้นที่ ที่จะต้องทำการเกษตร ชลประทาน อุตสาหกรรม และการพัฒนาเมือง พัฒนาสถานการศึกษาในเขตภูมิภาค ทุกอย่างจะต้องมีความสอดคล้องกันทุกด้าน สามารถจะเชื่อมโยงไปสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษได้
ส่วนราชการนั้น ต้องบูรณาการร่วมกัน หากต่างคนต่างทำนั้นมันจะทำให้เกิดการแบ่งแย่งผลประโยชน์ และเกิดความไม่ทั่วถึง และทำไม่ได้ เพราะกฎหมายมันมีอยู่หลายตัว เราต้องพยายามทำให้ได้ อะไรเกิดก่อนได้ก็เป็นสิ่งที่ดี และทุกคนต้องคำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก เราก็นำร่องในปีนี้ให้ได้
รัฐบาลนั้นจะมีหน้าที่ในการวางรากฐาน สนับสนุนจัดหางบประมาณ จัดหาผู้ลงทุนร่วม เพื่อจะนำไปสู่การพัฒนาสู่ภูมิภาคต่อไป ซึ่งในขณะนี้ภาคเอกชนหลายๆ แห่ง ได้เสนอมาแล้วว่า พร้อมที่จะสนับสนุนร่วมการลงทุนให้กับรัฐบาลนี้ด้วย เพื่อจะให้ทุกภาคส่วนเจริญเติบโตไปได้ด้วยกันอย่างยั่งยืน ดูแลลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชนตามแนวชายแดน และในพื้นที่ที่ห่างไกล
สำหรับในเรื่องของการกระจายรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลได้แก้ปัญหาหลายประเด็นด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็นทั้งระยะสั้น และเร่งด่วน ทำทันที และระยะยาว ที่จะต้องวางรากฐานให้แก่ประเทศและในอนาคต ในระยะสั้นนั้น ดำเนินการไปแล้ว เช่น การช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวนา สวนยาง การจ่ายเงินไร่ละพันบาท เร่งดำเนินการให้ได้แล้วเสร็จได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการวางรากฐานระยะยาวนั้น รัฐบาลก็กำลังดำเนินการอยู่ เช่น การปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่จะช่วยในการกระจายรายได้ภาษีมรดกภาษีอื่นๆ ทั้งระบบ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ ครม. และ สนช. ภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ก็อยู่ในการพิจารณารายละเอียดของกระทรวงการคลังอยู่ครับ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสภากฤษฎีกาด้วย รวมทั้งการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการ ลูกจ้างที่มีรายได้น้อย การเพิ่มเงินดูแลผู้สภากฤษฎีกา คนชรา ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นภาระการเงินการคลังของประเทศ
เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม รัฐบาลบาลได้ดำเนินต่างๆ อาทิ การเข้าถึงทรัพยากร เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่สาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้เจ้าหน้าที่พักผ่อน ท่องเที่ยว และออกกำลังกาย สำหรับประชาชนทั่วไป ที่ผ่านมานั้นพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้น จะถูกยึดครองอยู่อาศัยใช้ประโยชน์โดยคนกลุ่มน้อย อาจผิดกฎหมายทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าไปไม่ถึง จะจัดให้มีถนนคนเดินมีสวนสาธารณะให้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงในพื้นที่เป็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา คงการออกแบบในชั้นต้น และขออนุมัติ ครม. จัดหางบประมาณขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาคประชาชนด้วย ขอความร่วมมือในเรื่องนี้ด้วยนะครับ ถ้าเราไม่ทำวันนี้มันจะมีผลในวันหน้า เราต้องดูแลประชาชนทุกพวกทุกฝ่ายให้ได้ และทำอย่างไรให้มันสอดคล้องในเรื่องของการป้องกันริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตลิ่งที่จะพังทลายในอนาคตที่ต้องแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะเป็นผลผูกพันต่อเนื่องกันมายาวนานแล้ว เรื่องที่ 2 เรื่องของการพัฒนาเส้นทางจักรยานเพิ่มเติมในทุกพื้นที่เราได้เริ่มไปแล้วในเส้นทางนำร่อง วันนี้เพิ่มเติมไปหลายพื้นที่ทุกจังหวัด ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้มีการจัดขบวนคาราวานจักรยานร่วมกันในการขี่เข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน ในเส้นทางที่ปลอดภัย
เรื่องที่ 3 เรื่องการช่วยเหลือเรื่องคดีความ ผลักดัน พ.ร.บ. การดำเนินคดีแบบกลุ่มในการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการเปิดช่องของกฎหมายช่วยเหลือผู้เสียหายที่เป็นจำนวนมาก รวมฟ้องคดีและดำเนินคดีในคราวเดียวกัน เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนผู้รับความเสียหายให้เท่าเทียมและทั่วถึงทันเวลาด้วย
4. การจัดตั้งกองทุนยุติธรรม สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยที่ต้องเข้าต่อสู้คดีความก็ดำเนินการ
ในเรื่องที่ 5.เรื่องการจัดทำนาโนไฟแนนซ์ให้เป็นแหล่งเงินกู้ โดยได้เชิญสถาบันการเงินต่างๆ เข้าร่วมโครงการปล่อยเงินกู้กับผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย วงเงินรายละไม่เกิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือนหรือร้อยละ 3.6 ต่อปี อันนี้เฉพาะผู้ที่เดือนร้อน เพราะถ้าไม่เดือนร้อน อย่าไปกู้เลยนะครับ เพราะปัญหาหนี้ครัวเรือนมาก การใช้บัตรเครดิตต่างๆ มีปัญหาหมด
เพราะฉะนั้นภาคเศรษฐกิจควรดูด้วย ขีดความสามารถในการใช้หนี้มันเป็นปัญหาทั้งหมด มันทำให้ประชนที่มีรายได้น้อยมีปัญหา และถ้าหากเราแก้ไขปัญหานี้ได้เราจะเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขจัดพวกผู้มีอิทธพลแหล่งเงินกู้ เอารัดเอาเปรียบดอกเบี้ยสูง ผิดกฎหมาย เรามีกฎหมายออกมาแล้วต้องการดูแลทั้งเจ้าหนี้ - ลูกหนี้เหล่านี้นะครับ
เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมในเรื่องการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ แล้วมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องของการประมง ให้กรมประมงเร่งทำข้อตกลง MOU กับประเทศในภูมิภาค การจดทะเบียน และการติด GPS เรือประมง การห้ามการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในภาคการประมง และไม่ต่ำกว่า 15 ปี ในภาคการเกษตร ได้มีการติดตามเร่งรัดคดีในเรื่องของการค้ามนุษย์ การค้าประเวณี เด็กและสตรี แรงงานบังคับขอทาน เพื่อให้ได้ข้อยุติ และนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
เรื่องของการพัฒนาการศึกษา ได้เน้นทั้งการปรับปรุงระยะสั้นทำทันที และระยะยาวคือ การปฏิรูปโครงสร้าง สำหรับการปรับปรุงระยะสั้นนั้น ได้สั่งการให้มีการใช้เทคโนโลยีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อจะยกระดับคุณภาพเนื้อหาของการศึกษาในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนครู ให้มีคุณภาพเท่าเทียมกับพื้นที่ในเมือง ได้กำชับให้ครูผู้สอนนั้นเป็นผู้นำเนื้อหาเหล่านั้นมาอธิบายเพิ่มเติมมาสอนนักเรียนไม่ใช่เปิดทีวีให้นักเรียนดูแล้วครูก็ไม่ได้อยู่ด้วยอะไรทำนองนี้ ไม่ได้ แล้วจากผลที่มีการประเมินโดยโพลต่างๆ ได้แสดงให้เห็นว่า การที่ใช้ทางไกลผ่านดาวเทียม การสอนทางไกลนี้ทำให้นักเรียนที่มีฐานะยากจนอยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีโอกาสมากขึ้นในการเข้าศึกษาในสถานศึกษา
นอกจากนี้ เราดูแลนักเรียนที่มีฐานะไม่ร่ำรวยอะไร จะได้มีโอกาสมากขึ้นในการเข้าศึกษาสถานที่ศึกษาที่มีชื่อเสียง กำลังดูอยู่ว่า จะทำอย่างไร เพราะบางโรงเรียนมีค่าแป๊ะเจี๊ยะคงเป็นนโยบายของแต่ละโรงเรียน ซึ่งเขามีการพัฒนาอาจจะมากกว่าโรงเรียนของรัฐ หรือว่าโรงเรียนที่ไม่ได้มีการแย่งเข้ารับการศึกษา มันเป็นมาตรการของเขาเหมือนกัน จะทำอย่างไรเท่านั้นเองให้คนทุกคนมีโอกาสเท่าเทียม มันเป็นหลักการ พยายามให้กระทรวงศึกษาฯ ไปหาทางแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้น และระยะยาวให้เกิดความทั่วถึงเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งโรงเรียนกวดวิชาด้วย อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีปัญหาหมด
เพราะฉะนั้นทุกคนพยายามทำเต็มที่ในตอนนี้ มันอาจจะต้องล่าช้าไปบ้าง เพราะมันต้องใช้เวลาแก้ระบบทั้งระบบ ในเรื่องของการแก้ปัญหาโครงสร้างราคาพลังงาน ในการดำเนินการที่ผ่านมานั้น ทราบอยู่แล้วมันทำให้กลไกบิดเบือน ราคาพลังงานในตลาดมันไม่ตรง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันกับแก๊ส วันนี้รัฐบาลต้องนำงบประมาณต่างๆ ที่มันเป็นงบประมาณของกองทุนพลังงานไป บางอย่างต้องปรับไปเป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นงบประมาณของรัฐด้วย และบางอย่างยังต้องไปอุดหนุนในเรื่องของเชื้อเพลิงบางประเภท เพราะว่าเราต้องดูแลคนยากคนจนด้วย ขอให้อดทนไประยะหนึ่งหลายๆ อย่างจะเข้าที่เข้าทางเอง
เพราะฉะนั้นวันนี้เรานึกถึงคนจนอยู่แล้ว เราไม่อยากจะไปเอางบประมาณไปอุดหนุนเชื้อเพลิงบางชนิดมากเกินไป ทำให้เกิดการใช้พลังงานผิดประเภทไม่ประหยัด ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดภาระในการต้องนำน้ำมันดิบเข้ามา หรือแก๊สเข้ามาเป็นจำนวนมากขึ้น เกินความต้องการจริงๆ จริงๆ แล้วเราใช้ในประเทศมันไม่มากมายเท่าไรนัก แต่ถ้าหากว่าเราจะต้องเอาไปอุดหนุน และมีการลักลอบนำไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน มันคือปัญหา อย่างไรเราก็คุมไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราต้องสะท้อนต้นทุนแท้จริง ความต้องการแท้จริง ไม่อยากจะให้ส่งผลกระทบต่อการสร้างภาระหนี้สินของประเทศ ในช่วงที่ก่อนรัฐบาลนี้จะเข้ามานั้น กองทุนน้ำมันติดลบถึง 3 หมื่นล้านบาท ติดลบนะครับย้ำ วันนี้รัฐบาลรักษาสมดุลดังกล่าวได้ ทำให้กองทุนน้ำมันกลับมาเป็นบวก เราจะทำให้มีเงินที่จะรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน วันหน้าไม่แน่มันจะขึ้นจะลงอีกเท่าไร ไม่ให้มันผันผวนมากนัก ถ้ามันเกิดขึ้นมาเราจะได้มีเงินก้อนนี้ไว้แก้ปัญหาก่อน ก่อนที่จะปรับราคา ทำให้ประชาชนเดือดร้อน นอกจากนั้นได้จัดทำแผนพลังงานแห่งชาติใหม่นะครับ มีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในด้านต่างๆ ในด้านการผลิตไฟฟ้าให้มีศักยภาพ ให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน ให้มีการใช้ทั้งเชื้อเพลิงประเภทถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานทดแทนต่างๆ ลม น้ำ แสง แดดนะครับ วันนี้เราใช้พลังงานเหล่านี้ทั้งแก๊ส และน้ำมันประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นมันสูงเกินไป เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็พยายามจะไปสู่การใช้ถ่านหินบ้าง พลังงานทดแทนบ้าง ก็ยังมีปัญหาอยู่หลายเรื่อง ประชาชนก็ยังไม่ยอมรับ วันนี้ก็ต้องไปดูว่าทำยังไงจะปลอดภัย ทำไงไม่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมนะครับ ผมว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำได้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องยอมรับกันและต้องดูแลกันว่าจะทำยังไง ไม่งั้นเราจะต้องเสียเงินในค่าการสั่งแก๊สจากต่างประเทศ น้ำมันดิบจากต่างประเทศมากลั่นเป็นจำนวนมากนะครับ เกิดการไม่ประหยัดงบประมาณของประเทศ
ในเรื่องของการปรับปรุงกฎหมายรัฐบาลได้จัดลำดับความเร่งด่วน ความสำคัญในการเร่งนำกฎหมายเข้าสู่การพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เราจะต้องมีพันธสัญญาที่ทำกับต่างประเทศนะครับ กฎหมายที่อำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน กฎหมายที่ล้าสมัย กฎหมายที่จะลดความเหลื่อมล้ำ เช่น กฎหมายมรดก กฎหมายที่เป็นสัญลักษณ์ กำลังอยู่ในวาระที่ 2 ของคณะกรรมาธิการ ซึ่งกำลังพิจารณาอยู่ รัฐบาลก็ให้ข้อสังเกตไปแล้วถึงความห่วงใยว่าจะทำยังไง การจัดเก็บภาษีมรดกควรจะต้องมีข้อยกเว้นหรือไม่
สำหรับผู้ที่ได้รับมรดกไปแล้วไม่ได้ไปขายต่อจะต้องจ่ายภาษีอย่างไร และไม่ต้องจ่ายภาษีอย่างไรไปพิจารณาดูนะครับ เช่น การรับมรดกบ้านเก่ามาอยู่อาศัย หรือรับมรดกที่นามาแล้วยังทำกินการเกษตรต่อจะทำอย่างไร แม้กระทั่งการโอนกันไปก่อนช่วงนี้ที่มีหลายๆ คนมีข่าวว่ามีการโอนในช่วงนี้เพื่อเป็นการหนีภาษีมรดกก็ให้ไปทบทวนทั้งหมดนะครับ
เพราะฉะนั้นกฎหมายทุกกฎหมายทุกคนสามารถไปเสนอข้อคิดเห็น หรือส่งความเห็นไปที่คณะกรรมาธิการได้ เพราะมันต้องเข้าการพิจารณาถึง 3 วาระด้วยกันนะครับ อันนี้กฎหมายใดๆ ที่จะเป็นกฎหมายให้เกิดปัญหาเราจะชะลอไว้ก่อน เช่น กฎหมายที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการลงทุน ทำให้การลงทุนลดลง ไม่เกิดความเชื่อมั่นในธุรกิจต่างๆ เพราะฉะนั้นกฎหมายที่จะออกให้เร็วก็จะเป็นกฎหมายที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับทุกฝ่ายนะครับ ในส่วนที่มีรายได้มากอาจเดือดร้อนบ้าง รายได้น้อยคิดว่าไม่เดือดร้อน ไม่มีใครอยากออกกฎหมายให้คนมีรายได้น้อยเดือดร้อน
เพราะฉะนั้นอยากขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในเรื่องนี้ด้วยนะครับ พยายามทำความเข้าใจกันหน่อย รัฐบาลพร้อมจะรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายขอให้มีเหตุมีผล ไม่เห็นด้วยก็ขอให้มีการเสนอทางออก หรือทางเลือกอื่นๆ ให้เราได้พิจารณา ไม่ใช่ว่าต่อต้านทุกวัน มันไปไม่ได้ประเทศชาติจะมีปัญหาไปกันหมดนะครับ ในเรื่องของการแก้ไขการออกกฎหมายมีขั้นตอนของมัน ทุกคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ฉะนั้นมีโอกาสที่จะรับฟังข้อพิจารณา ข้อสังเกตให้ความคิดเห็น แต่ก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก อย่าให้มันเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกเลยในการที่จะเดินหน้าประเทศ
อีกประเด็นที่เป็นเรื่องถกเถียงกันวันนี้ ในช่วงนี้อยู่ก็คือเรื่องของการถอดถอนไม่ถอดถอน ผิดหรือไม่ผิด ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ สนช. วันนี้ขอทำความเข้าใจกับพี่น้องว่า การที่จะทำผิดกฎหมายนั้น คงต้องแยกแยะนะครับปนกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรม ผิดหรือถูก ถูกจริยธรรม ไม่ถูกอย่างไร ผิดกฎหมายอย่างไรก็ว่ากันมานะครับ จะมีกฎหมายผิดทั้งอาญา ผิดทั้งแพ่ง และผิดทางการเมือง อันนี้สังคมต้องแยกแยะนะครับ อย่าให้ใครมาปลุกระดมให้เกิดความไม่เข้าใจกันอีก ฉะนั้น ต้องเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน บางครั้งกฎหมายอาจจะมีช่องทางที่ทำให้เกิดการต่อสู้กันทั้งถูกและผิด ฉะนั้นความสามารถ หรือคุณสมบัติของ สนช. ที่เราเข้าไปทำงานต่างๆในเวลานี้ สังคมต้องพยายามทำความเข้าใจหน่อยนะครับ
เรื่องของการประชาสัมพันธ์และการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนนั้นถือเป็นนโยบายที่ผม และรัฐบาลได้พยายามปรับปรุงมาโดยตลอด ตั้งแต่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขอบคุณที่หลายส่วนจำนวนมาก ส่วนใหญ่เข้าใจ ในเรื่องของการรณรงค์ให้ทุกหน่วยงาน ทุกส่วนราชการได้มีการประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางให้ประชาชนได้รับรู้ รับทราบ ว่ารัฐทำอะไรไปได้บ้างให้กับประชาชน ประชาชนได้อะไร จะติดต่อราชการอย่างไร จะได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างไร ผมคิดว่าวันนี้อาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จ 100% นะครับ แต่สิ่งสำคัญก็คือว่า อยากให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติ ว่าจะทำอย่างไรจะได้เขาจึงจะประโยชน์ ทำอย่างไรเขาจึงจะเข้าใจว่า รายละเอียดที่รัฐบาลทำไปแล้วมีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นกองทุน การช่วยเหลือ การร้องเรียน การเข้าใจของกฎหมาย และแม้กระทั่งการขอรับความช่วยเหลือต่างๆ และออกไปมากมายหลายเรื่องด้วยกัน และพยายามชี้แจงทั้งหลังการประชุม ครม. ทั้งโดยโฆษกอะไรต่างๆ ผมคิดว่าต่อไปนี้ทุกกระทรวงคงจะต้องชี้แจงให้มากขึ้น คือในรายละเอียด ผมพูดในหัวข้อในนโยบายที่สั่งการทุกครั้งเลย
ฉะนั้น ในแต่ละกระทรวงไปปฏิบัติจะต้องขับเคลื่อน ต้องอธิบาย ต้องทำความเข้าใจ ประชาชนพยายามฟังหน่อยนะครับ ถ้าท่านไม่ฟังมันก็ไม่รู้รายละเอียดนะ ฉะนั้นขอร้องสื่อทุกสื่อโดยช่วยกันแพร่ ช่วยกันสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนโดยรวมด้วย ต้องกว้างขวาง ทั้งในด้านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึงในเวลานี้ ในเรื่องนี้ประชาชน หรือเอกชนต้องรับรู้รับทราบ เพื่อจะปฏิบัติตนให้ถูกต้อง
เรื่องกฎหมายด้วยนะครับ สื่อมวลชนต้องช่วยเราด้วย ว่าถ้ามีความผิดขึ้นมาแล้ว กฎหมายที่ออกไปใหม่ๆ หรือกฎหมายที่มันมีผลในทางอาญาบางทีเราจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ทราบมันคงไม่ได้ กฎหมายเขาระบุไว้ชัดเจน ประชาชนจะปฏิเสธกฎหมายไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องติดตาม มันมีทั้งส่วนดีและส่วนที่จะเป็นอันตรายกับพวกเราก็คือว่าไม่รู้ เพราะไม่รู้ นอกนั้นเป็นประโยชน์ทั้งสิน ให้สังคมอยู่กันได้นั้นคือกฎหมาย ขอให้ช่วยกันทุกช่องทาง
ในเรื่องการเดินหน้าประเทศร่วมกัน รัฐบาล สนช. สปช. ภาคประชาชน ประชาสังคมต้องช่วยกันทั้งหมดนะครับ รับฟังความคิดเห็น พูดคุยแลกเปลี่ยนในทุกมิติ ในเรื่องของความมั่นคงด้านพลังงานนั้น เรื่องการให้สัมปทานครั้งที่ 21 นั้น เป็นมติของ สปช.เดี๋ยวรัฐบาลนำหารือว่าจะออกมาอย่างไร แต่สิ่งสำคัญคือ ข้อมูลจะต้องถูกต้อง ข้อมูลที่พูดกันอะไรกันจะต้องถูกต้องและเข้าใจกัน ในเรื่องของทางปฏิบัติเป็นเรื่องของ ครม. เป็นเรื่องของกระทรวงพลังงาน ที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องของการดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เพียงพอ และไม่ให้ประสบปัญหาในเรื่องของวิกฤตด้านพลังงานในอนาคต ต้องใช้เวลาในการเตรียมการยาวนานหลายปีกว่าจะลงทุนได้ กว่าจะตัดสินใจได้ว่า ใครจะทำใครจะเริ่ม กว่าจะขุดเจาะ กว่าจะสำรวจแล้วก็ขุดเจาะ กว่าจะกลั่นออกมา ไม่ใช่ไม่ต้องลงทุนใหม่ ต้องใช้เวลาและสร้างความเชื่อมั่น อันนี้ก็ขอให้ใจเย็นๆ นิดหนึ่งนะครับ
ในเรื่องของการอนุรักษ์พลังงาน ความมั่นคงพลังงาน ผมอยากจะเรียนว่าต้องไปด้วยกัน อนุรักษ์พลังงาน คือ ใช้อย่างประหยัด มีพลังงานทดแทนอะไรก็แล้วแต่ ในด้านความมั่นคงพลังงานหลายท่านไม่เข้าใจว่า อะไรคือความมั่นคง และพลังงานความมั่นคง คือทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่หรือเปล่า ไม่ใช่นะครับ แต่ความมั่นคงแทรกอยู่ในทุกระบบ เศรษฐกิจก็ต้องมีความมั่นคง มีเสถียรภาพ บ้านเมืองปลอดภัย เศรษฐกิจถึงจะดีนะครับ ในเรื่องของความมั่นคงพลังงานก็หมายความว่า ประเทศไทยต้องไม่ขาดแคลนพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาวก่อน ระยะสั้นคือไฟฟ้าจะต้องไม่ดับ เพราะไฟฟ้าเป็นแหล่งเกิดพลังงานอื่นๆ อีกด้วย
เพราะฉะนั้นทำอย่างไรวันนี้เราต้องพึ่งไฟฟ้าจากหลายพื้นที่ด้วยกัน 1. จากพลังงานน้ำของเราเอง จากเขื่อน วันนี้ก็ผลิตได้น้อยลง 2. คือรับซื้อจากต่างประเทศ ถ้าเขาไม่ขายมาแล้วทำอย่างไร เกิดความขัดแย้งแล้วจะทำอย่างไร ในเรื่องของแก๊สเหมือนกัน ถ้าเราหวังพึ่งคนอื่นเขามากๆ ไปซื้อมาแล้วมาทำเอง อะไรเอง ต้องซื้อวัสดุมา วันหน้าถ้าเขาไม่ขายแล้วจะทำอย่างไร เกิดความขัดแย้งทั้งโลกในวันหน้า นั่นคือ ความมั่นคงด้านพลังงาน ความหมายของผมก็คือว่าเราจะต้องมีแหล่งพลังงาน หรือมีการเตรียมการด้านพลังงานไว้ทดแทนเมื่อยามขาดแคลน เมื่อยามเกิดปัญหาโดยทันที โดยไฟฟ้าไม่ดับ วันหน้าถ้าเราไม่เตรียมไว้อย่างนี้ไฟฟ้าดับได้ ถูกปิดท่อ แค่ซ่อมท่อก็แย่แล้ว ทุกวันนี้หรือราคาสูงขึ้น เหล่านี้จนเรารับไม่ได้จะทำอย่างไร อย่าคิดว่าไม่เกิดขึ้น เราต้องคิดในสิ่งที่เป็น Worst Case ไว้ด้วย เราจะต้องเตรียมการให้พร้อม
เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีการลงทุนอะไรไว้เลย แม้ว่าจะอนุมัติไปแล้ว เปิดสำนักงานไปแล้ว ก็อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ ต้องใช้เวลา และศึกษาผลกระทบต่างๆ ทั้ง EIA และ HIA ต่างๆ อีกมากมายนะครับ ใช้เวลา เพราะฉะนั้นถ้าเราช้าไปเรื่อยๆ อนาคตเราที่มีความเสี่ยงด้านพลังงานก็สูงขึ้น อาจจะเผชิญกับการขาดแคลนพลังงาน วันหน้ามีปัญหาความขัดแย้งมากมาย ซึ่งวันนี้โชคดีที่ยังไม่เข้ามาในภูมิภาคของเรานะครับ ก็ห่างไกลอยู่ แต่ก็มีผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจอยู่แล้วในวันนี้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องมาวางรากฐานเรื่องนี้ให้ดี มีความขัดแย้งกันเรื่องอะไรต่างๆ ก็ต้องแก้ไขกัน รับฟังกันบ้าง เอาข้อมูลที่ถูกต้องมาหารือมาพูดคุย เอาข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมาพูดคุยหารือก็สร้างความเชื่อไปอีกคนละแบบ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวคงต้องให้กระทรวงพลังงานมาชี้แจงให้ทราบว่า มันเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เรื่องการทุจริตนั้นก็อย่าเป็นห่วงมาก ทุกฝ่ายพยายามร่วมกันตรวจสอบ คนทำความผิดต้องดำเนินการ ว่าไปตามความผิด วันนี้จัดตั้งคณะกรรมการติดตามทุกเรื่องอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของ คสช. และรัฐบาล ทั้งทุกระเบียบทุกกฎหมายดำเนินการอยู่ คงจะได้ผลมาโดยเร็ว เรื่องทุจริต แต่ในระหว่างที่ตรวจสอบขอให้เดินหน้าไปด้วยแล้วกัน ทั้งในเรื่องงบประมาณ การลงทุน การก่อสร้างอะไรต่างๆ อย่าให้มันล่าช้า ถ้าช้าไปถือว่าไม่มีประสิทธิภาพด้วยแล้วกัน ข้าราชการ เอกชนก็ต้องไม่ไปร่วมมือ ต้องไม่ไปสมยอมอะไรกัน ไม่ได้นะครับ เร่งให้ออกให้เร็ว จะเข้าไตรมาส 1 2 แล้ว
เพราะฉะนั้นขอให้เร่งดำเนินการการเบิกจ่ายงบประมาณ เบิกไปแล้ว การจัดซื้อจัดจ้างก็ยังช้าอยู่ เพราะฉะนั้นผมก็ไปดูว่าจะทำอย่างไรให้ขับเคลื่อนให้เร็ว
เรื่องวิสัยทัศน์ที่ผมกล่าวไว้ว่า จะต้องมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน 2015 - 2020 ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยได้เข้าใจ และมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ในปี 2558 เป็นปีแรก และถึง 2563 ประเทศไทยจะต้องมีความมั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งในเรื่องของเสถียรภาพ ความสงบสุข และในเรื่องของเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และในเรื่องของใช้จ่าย มีจัดหางบประมาณเข้ามาพัฒนาประเทศให้มากขึ้น ในการที่จะแก้ปัญหาทั้งการดูแลสาธารณูปโภค การดูแลสุขภาพ การศึกษามากมาย ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น วันนี้เรารายได้ค่อนข้างจะลดลง ภาษีต่างๆ ลดลงต้องชะลอตัวไปทั้งหมด ต้องลงทุนให้มากขึ้น หารายได้ให้รัฐมากขึ้น วันนี้มีอย่างเดียวที่เข้ามา กองทุนน้ำมันนั่นแหละ ผมเรียนข้อเท็จจริง อย่างอื่นไม่เข้าอะไรมาเลย การเก็บภาษียังทำได้ไม่เต็มจำนวน เพราะว่าเศรษฐกิจมันชะลอ ต้องเห็นใจรัฐบาลด้วย เราต้องพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน หลายๆ เรื่องที่เรามีความได้เปรียบอยู่ ถ้าเราเริ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้รวด การคมนาคม ถนนกลาง ทางอากาศทางน้ำ มันต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นมันเร็วมากก็ไม่ได้ มันเป็นปัญหา เราก็วางแผนระยะยาวเอาไว้ และทำเป็นขั้นเป็นตอนไปแล้วกัน มีเงินเท่าไรก็ทำไปก่อน จะต้องทำให้ประเทศไทยนั้นเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนให้ได้ โดยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ระหว่างประเทศ เรียกว่า ไอเอชคิว และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ไอทีซี เป็นศูนย์กลางทางการเงิน ศูนย์กลางการกระจายสินค้า มีอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพื่อจะรองรับผลผลิตของเกษตรกรต่างๆ ทั้ง 17 ล้านคนของประเทศ เป็นศูนย์กลางในการยกระดับการศึกษาของเด็กไทย และต่างชาติ ในลักษณะความร่วมมือระหว่างกันในการเพิ่มการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ในกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมของเรา ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ สร้างเสริมการค้าการลงทุน ให้ขีดความสามรถในการแข่งขันและยกระดับเกษตรกรให้มีการรวมกลุ่ม พัฒนาอย่างเข้มแข็งยั่งยืน ไทยนั้นมีโอกาสเป็นผู้ผลิตอาหารที่มีคุณภาพปลอดสารพิษ Organic มี Brand มีทั้งสมุนไพร เครื่องสำอาง ยาพื้นบ้าน โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการวิจัยและพัฒนา เพื่อจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นสิ่งต้องการทั้งในประเทศ ในอาเซียน และในโลกด้วยมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การแพทย์รักษาพยาบาล เป็นศูนย์กลางของสถานพยาบาลของอาเซียนก็ได้ ทั้งหมดเรามีความพร้อมเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นจะทำได้ก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจของพวกเราทุกคน ในการที่จะสร้างประเทศไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน มีความร่มเย็น น่าอยู่ น่าอาศัย เป็นที่รักของประชาชนของคนทั้งโลก เพราะฉะนั้นคนไทยต้องรักกัน สามัคคีกัน และเข้าใจกัน เผื่อแผ่แบ่งปันกันให้ได้ ขอขอบคุณอีกครั้ง สวัสดีครับ