ตั้งแต่ทำรัฐประหารเหมือน “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะควบคุมความเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง” ภายในประเทศได้อยู่หมัด บรรดาสมุนแดง-ไพร่แดง ที่ออกมาก่อกวนบ้านเมืองมาหลายปีหันหลังกลับเข้าที่ตั้งเกือบหมด เพื่อเฝ้ารอเวลาที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี คืนอำนาจให้ประชาชน
แนวรบ-แนวร่วมของ “คนเสื้อแดง” ที่มักออกมาป่วนบนท้องถนนถอยไปตั้งรับคอยป่วนในโลกโซเซี่ยลมีเดียแทน เพื่อปล่อยข่าวลือด้านลบของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” หรือข่าวลบเกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ปมเพาะขบวนการ “แดงล้มเจ้า” ให้แข็งแรงต่อไป
ส่วนแนวร่วม “คนเสื้อแดง” ตามหัวเมืองทั้งในภาคเหนือ-ภาคอีสาน ยังคงขยับตัวเคลื่อนไหวได้ลำบาก เพราะ “บิ๊กตู่” สั่งการให้ “กองทัพภาค” จับตาบรรดา “หัวขบวน” ที่มีรายชื่ออยู่ใน “แบล็คลิสต์” ของ “กองทัพ” ชนิดตามเกาะติดเกือบทุกความเคลื่อนไหว ทำให้ปลุกระดมได้ลำบาก
แต่หาก “กองทัพ” ปลดล็อคกฎเหล็ก “อัยการศึก” เมื่อไรมีหวังแนวรบ-แนวร่วม “คนเสื้อแดง” กลับมาเคลื่อนไหวจู่โจมทั้งบนดินและใต้ดินชนิด “จัดเต็ม” ได้ทันที ไม่ให้เสียเวลา-ไม่ให้รัฐบาลได้ตั้งตัว
แต่ปัญหาของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ที่แก้เท่าไรก็ไม่ตกคือการติดตามตัว “ผู้กระทำผิดมาตรา 112” และ “นักรบแดง” มาดำเนินคดีให้เป็นตัวอย่าง เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดูแทบไม่ได้เลยสักคน
ส่วนหนึ่งเพราะความมือระหว่างประเทศของนานาประเทศแทบจะไม่มีให้เห็น แม้ “บิ๊กตู่” พยายามจะทอดมิตรและปรากฎตัวในวงประชุมระดับโลกหลายครั้ง แต่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศแค่ “ฉากหน้า” เท่านั้น แต่ “ฉากหลัง” แล้ว แทบไม่มีประเทศยอมรับไทยได้เลย
นอกจากนี้การทำความเข้าใจกับ “องค์กรระหว่างประเทศ” ให้เข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้อง “ยึดอำนาจ” การบริหารประเทศจาก “รัฐบาลปูแดง” ยังดำเนินการได้น้อยมาก แถมยังไม่สามารถทำให้นานาประเทศเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงได้
เกือบทุก “รัฐบาล” ของนานาประเทศยังคงทำหนูทวนลมอยู่ เมื่อเห็นหนังสือที่ “กระทรวงการต่างประเทศ” ส่งไปเพื่อขอความร่วมมือเกี่ยวกับการขอตัวผู้กระทำผิดมาตรา 112 มาดำเนินคดีในประเทศไทย
โดยเฉพาะกรณีของ “เอกภพ เหลือรา” หรือ “ตั้ง อาซีวะ” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ได้ “สถานะภาพผู้หลี้ภัยทางการเมือง” จาก “สำนักงานใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยทางการเมือง” (UNHCR) ซึ่งเป็นหน่วยงานลูกของ “สหประชาชาติ” หรือ (UN)
หน่วยงานความมั่นคง วิเคราะห์ว่า ยูเอ็นเอชซีอาร์เจตนาที่จะช่วยเหลือบรรดาผู้ต้องหาคดี 112 อยู่แล้ว เพราะยูเอ็นเอชซีอาร์ไม่เห็นด้วยที่ประเทศไทยยังมีกฎหมายอาญามาตรา 112 บังคับใช้อยู่ และที่ผ่านมา “คนเสื้อแดง” พยายามใช้ช่องทางของยูเอ็นเอชซีอาร์ฟ้องร้องคดีสลายการชุนนุมปี 2553 มาโดยตลอด
และพยายามเอาผิด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กทหาร” ที่ร่วมวงอยู่ใน “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.) ให้จงได้ แต่ยังติดขัดปัญหาหลายอย่าง
ที่สำคัญก่อนหน้านี้ “ยูเอ็นเอชซีอาร์” ได้ให้สถานภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองกับ “แกนนำคนเสื้อแดง” และ “ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน” ไปหลายรายแล้ว
ความสำคัญของสถานภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองคือ หากผู้มีสถานะดังกล่าวแล้วเดินทางไปยังประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จะได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ โดยไม่ผิดกฎหมายของประเทศนั้น สรุปคือไม่ถือเป็นผู้หลบหนี้เข้าเมือง สถานะนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “ตั้ง อาชีวะ” ได้รับการรับรองให้เป็นพลเมืองของประเทศนิวซีแลนด์ไปโดยปริยาย
แบบที่คนธรรมดาไม่มีคดีติดตัวยังทำไม่ได้
มีการวิเคราะห์ว่า “นิวซีแลนด์” คงไม่ได้พิจารณาว่า “ตั้ง อาชีวะ” ติดโทษคดีหมิ่นสถาบัน แต่มองเพียงว่า “ตั้ง อาชีวะ” มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง จึงให้สถานะ “พลเมือง” โดยที่ไม่ได้พิจารณาประเด็นอื่น
นอกจากนี้หน่วยงานความมั่นคง ยังคงตามแกะรอยปริศนาที่มีข่าวหลุดออกมาว่ามี “เอ็นจีโอ” บางองค์กรที่คอยให้ความช่วยเหลือ “แกนนำคนเสื้อแดง” และ “ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน” อยู่
ว่ากันว่าเป็น “เอ็นจีโอ” ระดับ “บิ๊กเนม” ซึ่งบางรายยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่มีหลายรายที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ มีส่วนสำคัญที่ช่วยเหลือทั้งทุนทรัพย์และการันตีสถานะของคนกระทำผิด
โดยล่าสุดมีกระแสข่าวออกมาหนาหูว่า “ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน” ระดับ “ตัวแม่” อาทิ “จักรภพ เพ็ญแข - จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” เป็นต้น ไม่ได้หนีไปไหนไกล แต่ยังอาศัยประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่ซุกหัวนอน แถมยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ไทยไว้วางใจมาโดยตลอด
“สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” คือดินแดนที่ “นักโทษแดง” ปักหมุดเช็อินอยู่ในตอนนี้ อาศัยช่องทางระหว่าง “ลาว - กัมพูชา” ที่มีภูมิประเทศชายแดนติดกันกระโดดข้ามไปมาระหว่าง 2 ประเทศ
เรื่องของเรื่องก็มาจากความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐบาลบิ๊กตู่” กับ “นายกฯฮุนเซน” ผู้นำกัมพูชา ที่อิ๋อ๋อชื่นมื่นขึ้นตามลำดับ “นักโทษแดง” จึงกระโดดหนีข้ามไปอาศัยร่มเงาของ “ลาว” แทน แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่ “นักโทษแดง” อาศัยจังหวะที่ “รัฐบาล” เผลอ ข้ามเขตแดนมา “กัมพูชา” เพราะมีพรรคพวกเพื่อนฝูงและธุรกิจบางส่วนที่ต้องดูแล
มีรายงานข่าวออกมาว่า “รัฐบาลไทย” ได้ส่ง “ทหาร” ระดับฝีมือดีใน “กองทัพ” ออกไปไล่ล่า “นักโทษแดง” ให้กลับมารับโทษในเมืองไทยให้ได้ แต่กลับคว้าน้ำเหลวกลับมาทั้ง 2 ครั้งที่แอบซุ่มเข้าไป
โดยเชื่อว่ามี “หน่วยทหาร” ของลาว คอยให้ความช่วยเหลือบรรดา “นักโทษแดง” ในทางลับอยู่ และคอยบอกเส้นทางหนีไม่ให้เจอกับ “ทหารไทย” ได้ เพราะก่อนที่จะส่งทหารเข้าไป “หน่วยข่าวกรอง” สืบรู้พิกัดที่อยู่ของ “นักโทษแดง” เกือบทั้งหมด
ฉะนั้นหากบรรดา “นักโทษแดง” หลบหนีไปได้ ไม่ต้องไปสงสัยใครที่ไหนให้ไกล ฟันธงได้เลยว่า “เจ้าหน้าที่ลาว” มีส่วนเอี่ยวอย่างแน่นอน เพราะต้องเข้าใจว่าเดิม “ลาว” ถือเป็น “คอมมิวนิสต์” จึงมีความเป็นไปได้ที่จะให้ความช่วยเหลือกับ “เศษคอมมิวนิสต์” จากประเทศไทย
ตอนนี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จึงเปลี่ยนเกมเล่น ดอดติดต่อ “บิ๊กรัฐบาลลาว” เพื่อขอเข้าพื้นที่อย่างเป็นทางการในการค้นหา “นักโทษแดง” กลับมาลงโทษ เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูให้ได้
และเหมือนจะเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานจะได้ตัว “นักโทษแดง” กลับมาดำเนินคดีอย่างแน่นอน