ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าในความเป็นจริงคงจะคาดหวังอะไรที่เป็นมรรคเป็นผลอะไรไม่ได้ต่อการที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เริ่มกระบวนการถอดถอนตำแหน่งทางการเมืองของ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา จากความผิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของวุฒิสภาโดยมิชอบ
โดยสภาเริ่มให้แถลงเปิดคดีในวันที่ 8 มกราคม และถัดมาในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 9 มกราคม ก็ถึงคิวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดจากโครงการรับจำนำข้าว ที่ปล่อยปละละเลยจนทำให้เกิดการทุจริตกันทุกขั้นตอนจนสร้างความเสียหายมากว่า 6 แสนล้านบาท เพราะในที่สุดบทสรุปสุดท้ายก็คือต้องใช้คะแนนเสียงลงมติชี้ขาดซึ่งรู้กันตั้งแต่ในมุ้งอยู่แล้ว “มันเป็นไปไม่ได้เลย”
ก็เพราะว่าต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 5 ซึ่งก็คือต้องมีเสียงไม่น้อยกว่า 132 เสียงขึ้นไป และเมื่อพิจารณาจากมติที่รับเรื่องไว้พิจารณาก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว คือรับพิจารณา 87 ต่อ 75 เสียง และที่น่าพิลึกไปกว่านั้นก็คือ ดันมีพวกงดออกเสียงอีก 15 เสียง ทั้งสองพวกหลังที่จริงแล้วก็พวกเดียวกัน ดังนั้นเมื่อคะแนนออกมาอย่างที่เห็นมันก็จึงสามารถสรุปผลออกมาล่วงหน้าอยู่แล้ว
อีกทั้งกรณีของสองอดีตประธานสภาดังกล่าว ยังมีข้อถกเถียงกันถึงเรื่องที่ถูกฟ้องจากทำผิดรัฐธรรมนูญปี 50 ที่ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉีกทิ้งไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็มีกำหนดการออกมาคร่าวๆ ล่วงหน้าแล้วว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะลงมติทั้งสองกรณี คือ ทั้งกรณี สมศักดิ์-นิคม-ยิ่งลักษณ์ ประมาณปลายเดือนมกราคมหรืออย่างช้าไม่เกินต้นเดือนกุมภาพันธ์
อย่างไรก็ดี คดีที่น่าลุ้นด้วยใจระทึกมากกว่าต้องเป็นคดีที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ฟ้องอาญากรณีกระทำผิดจากโครงการรับจำนำข้าวนี่แหละ แม้ว่าเวลานี้ยังยื้อกันอยู่ในขั้นตอนของอัยการสูงสุด มีการตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณาสอบสวนพยานเพิ่มเติม แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องเดินไปถึงจุดสิ้นสุดจนได้ นั่นคือ หากอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องจะด้วยเหตุผลหลักฐานอ่อน หรืออะไรก็แล้วแต่ หากเป็นแบบนั้นทาง ป.ป.ช.ซึ่งยืนยันมาตั้งแต่ต้นก็ต้องสั่งฟ้องเอง
นั่นคือต้องฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้ว่าตามกระบวนการอาจต้องใช้เวลาบ้าง แต่ก็ถือว่าเมื่อเทียบกับศาลอื่นก็คงใช้เวลาไม่นานนัก
เมื่อเห็นเส้นทางข้างหน้าแน่นอนว่าสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องกังวลกับคดีอาญาของน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากที่สุด เพราะหากเป็นอะไรย่อมต้องเกิดความเสียหายสำหรับครอบครัวชินวัตรแบบประเมินค่าไม่ได้ มีผลต่ออนาคตทางการเมือง ที่ถูกวางเป็น “นอมินีอำนาจ” โดยตรง เพราะถือว่าไว้ใจได้ที่สุด
ดังนั้น เมื่ออนาคตข้างหน้ามีความเสี่ยงสูงแบบนี้ รับรองว่าก็ต้องมีการดิ้นรนขัดขวางกันอย่างเต็มที่เหมือนกัน แน่นอนว่าสิ่งที่คนพวกนี้งัดเอามาใช้อย่างได้ผลอยู่เสมอก็คือใช้ “มวลชน” กดดัน อย่างที่กำลังเริ่มเคลื่อนไหวกันอยู่ในเวลานี้
ขณะเดียวกัน คู่ขนานไปกับการเดินเกมดิสเครดิต แบ่งงานกันทำ อย่างที่เวลานี้กำลังพุ่งเป้าโจมตีกรรมการ ป.ป.ช.บางคน กล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติ หรือบางคนมีอคติ เป็นคู่ขัดแย้งบ้างอะไรบ้าง พร้อมทั้งข่มขู่ฟ้องร้องสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหางมติสนับสนุนให้ถอดถอน ซึ่งกรณีหลังก็ได้ผลเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกเป็น สนช.สายทหาร สายข้าราชการที่ยังหวังอนาคตก้าวหน้าหากอำนาจเปลี่ยน
แม้ว่ามวลชนกลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มเดิมที่เคยสนับสนุนระบบทักษิณ และคนในครอบครัวชินวัตร อย่างเหนียวแน่นโดยไม่สนใจความถูกผิด หรือก่อความเสียหายให้กับบ้านเมืองแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือการที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ยอมขยายความผิดพลาดล้มเหลว การทุจริตโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็เคยระบุตัวเลขออกมาเองว่าขาดทุนไม่ต่ำกว่า 6.8 แสนล้านบาท และข้าวที่ค้างอยู่ในโกดังร้อยละ 70 ล้วนเป็นข้าวด้อยคุณภาพ แต่ทุกอย่างก็ไปเรื่อยๆ เรียงๆ มิหนำซ้ำยังทำให้ชวนสงสัยอีกว่ากำลังจะมีรายการปรองดองแบบแล้วๆ กันไปตามมาอีก มันก็ทำให้น่ากังวลว่าเมื่อใกล้ลงมติถอดถอน และเมื่อมีการส่งฟ้องอาญา จะมีการขนมวลชนออกมาป่วน เนื่องจากเข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้ง ต้องการขัดขวางเส้นทางการเมืองข้างหน้ามันก็เป็นไปได้สูงหากยังไม่อธิบายให้สังคมได้รับรู้ในวงกว้างกว่าที่เป็นอยู่
และที่สำคัญที่สุดอยากภาวนาให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถฝ่าฟันแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้เป็นรูปธรรม เพราะถ้ายังไม่กระเตื้องมันก็เป็นเงื่อนไขชั้นดีสำหรับการปลุกระดมมวลชนให้ออกมา!!