กระทรวงการต่างประเทศเชิญ “อุปทูตกีวี” เข้าพบ ขอทราบสถานะ ‘ตั้ง อาชีวะ’ ที่อ้างว่าได้พาสปอร์ตและกำลังพำนักในนิวซีแลนด์ ชี้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกคนไทยที่เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ไม่สะท้อนความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ ขณะชุมชนชาวไทยในนิวซีแลนด์คัดค้านหนัก พร้อมเข้าชื่อจี้ถอดถอนสถานะ ‘ตั้ง อาชีวะ’
วันนี้ (5 ม.ค.) เมื่อเวลา 18.30 น. กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ข่าวผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงฯ เรื่องความคืบหน้ากรณีนายเอกภพ เหลือรา ความว่า ตามที่นายเอกภพ เหลือรา ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2557 ระบุว่า ตนได้รับหนังสือเดินทางของนิวซีแลนด์และได้พำนักอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์เรียบร้อยแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2557 กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญอุปทูตสถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย (นายแชนนอน ออติน) เข้าพบเพื่อขอรับทราบเกี่ยวกับสถานะของนายเอกภพในการพำนักอยู่ในนิวซีแลนด์ เนื่องจากนายเอกภพมีพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะที่ไม่น่าจะเหมาะสมหรือสอดคล้องกับสถานะที่ได้รับจากรัฐบาลนิวซีแลนด์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนไทยที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งไม่ส่งผลดีต่อความพยายามที่จะสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ในประเทศไทย และไม่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยและนิวซีแลนด์
ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงได้ขอให้ฝ่ายนิวซีแลนด์ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการพำนักอยู่ในนิวซีแลนด์ของนายเอกภพ และขอร้องให้ฝ่ายนิวซีแลนด์ได้ดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างประเทศทั้งสอง
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ ว่าขณะนี้มีกลุ่มชุมชนชาวไทยที่พำนักอยู่ในนิวซีแลนด์ได้เปิดเว็บไซต์และเฟซบุ๊กโดยโพสต์ข้อความคัดค้านกรณีการได้ถิ่นพำนักและได้เอกสารนิวซีแลนด์ของนายเอกภพฯ และการที่นายเอกภพใช้สถานะดังกล่าวในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ชุมชนไทยยังได้ส่งจดหมายถึงนายจอห์น คีย์ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน เพื่อแสดงการคัดค้านต่อการให้สถานะแก่บุคคลดังกล่าว
อีกทั้งชุมชนไทยบางส่วนได้รวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลนิวซีแลนด์ให้เพิกถอนสถานะของนายเอกภพ นอกจานี้ยังมีชาวนิวซีแลนด์บางส่วนได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เพื่อเรียกร้องในกรณีดังกล่าวด้วย