ไม่กี่วันที่ผ่านมา ภาพไอ้คนที่เคยขึ้นเวทีคนเสื้อแดงปราศรัยจาบจ้วงล่วงละมิดสถาบันอย่างถ่อย หยาบ โดยใช้นามนาม “ตั้ง อาชีวะ” ปรากฏบนสื่อออนไลน์ในโซเชียลมีเดียกับแฟนสาวของมัน โดยโพสต์ท่าถ่ายรูปชูพาสปอร์ตนิวซีแลนด์ เป็นเชิงเย้ยหยันว่าที่จะตามจับตัวมันในโทษฐานทำผิดกฎหมายมาตรา 112 นั้นคงจะยากเสียแล้ว เพราะบัดนี้มันได้เปลี่ยนสถานะเป็นพลเมืองของประเทศนิวซีแลนด์แล้ว
ผมรู้สึกผะอืดผะอมกับภาพข่าวนี้อย่างบอกไม่ถูก จนต้องเอาภาพนั้นเขียนระบายเป็นบทกลอนสั้นๆ ว่า
ไม่จัดการกับ “ตั้ง อาชีวะ”
ปล่อยให้มันกักขฬะมาหยามหยัน
หนีหมายศาลหนีคดีมาแดกดัน
ชูพาสปอร์ตเป็นชนชั้น นิวซีแลนด์
ตกลงประเทศนี้เสรีแท้
ใครทำผิดมีแผลก็เผ่นแจ้น
ไปหลบลี้หนีหมายในต่างแดน
แล้วเล่นลิ้นหมิ่นแคลนประเทศไทย
ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ครับว่า ตกลงประเทศไทยในยุคนี้ ใครคิดจะทำผิดคิดร้าย ล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ พอจวนตัวจะถูกดำเนินคดี หรือต่อให้มีคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาลงโทษแล้ว ก็แค่หลบหนีออกนอกประเทศ แล้วก็ไม่มีใครจะทำอะไรได้ ลอยนวลใช้ชีวิตแบบปกติสุข แถมยังสามารถออกสื่อได้อย่างเป็นสาธารณะเปิดเผยทั้งตัวตนและสถานที่อยู่อย่างสง่าผ่าเผย ยิ่งในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ไอ้คนที่หลบลี้หนีโทษหนีคดีความไปอยู่นอกประเทศ ก็ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐทั้งที่เป็นข้าราชการทหารตำรวจและระดับเสนาบดีไปเยี่ยมเยือนคารวะถึงที่ โดยไม่คำนึงถึงหน้าที่รับผิดชอบและความเหมาะความควรใดๆ และที่น่าพิศวงงงงวยยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีสื่อมวลชนบางค่ายบางคณะยกขบวนไปให้ความสำคัญถึงที่สัมภาษณ์พิเศษกันอย่างเอิกเกริกออกสื่อทีวีไปทั่วประเทศโดยไม่คำนึงถึงสถานะนักโทษหนีคดีของผู้ที่ สื่อไม่ควรจะให้ความสำคัญเยี่ยงนั้น
หรือนี่คือความวิปริตของยุคสมัย ที่ขื่อแปของบ้านเมืองบิดเบี้ยวพิกลพิการอย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้
ยิ่งในยุคสมัยที่เรามีรัฐบาลควบคู่กับ คสช.ที่มีอำนาจพิเศษเด็ดขาด โดยมีนายกรัฐมนตรีกับหัวหน้า คสช.เป็นคนคนเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็คงหวังว่าจะได้เห็นการใช้อำนาจเด็ดขาดจัดการกับคนที่กระทำผิดอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็หาได้เป็นอย่างที่ทุกคนหวังแต่อย่างใดเลย
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มจากการรัฐประหาร ดูๆไปแล้วไม่เห็นจะแตกต่างกันตรงไหนเลย
โดยเฉพาะวิธีการที่จัดการกับการกระทำผิดคิดร้ายต่อบ้านเมือง และการผลักดัน ให้เกิดระบบนิติรัฐที่อำนวยความยุติธรรมแก่สังคมโดยส่วนรวมโดยเสมอภาคเท่า เทียมกัน
คนทำผิดคิดมิชอบและเจตนาร้ายต่อสถาบัน ต่อชาติบ้านเมือง ยังลอยนวลเป็นปกติสุข มิหนำซ้ำยังก่อเกิดขบวนการที่ใช้ชื่อว่า “เสรีไทย” ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านอำนาจรัฐจากภายนอกประเทศอย่างท้าทายกฎอัยการศึก ที่ฝ่ายทหารประกาศใช้เกือบทั่วประเทศ มีผลแค่ปรามการชุมนุมและเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเปิดเผยเท่านั้นเอง แต่ไม่อาจจำกัดทางความคิดต่าง และแรงกระเพื่อมทางการเมืองแบบคลื่นใต้น้ำ ที่พร้อมจะกลายเป็นมรสุมหรือสึนามิทางการเมืองได้ตลอดเวลา
การร่างรัฐธรรมนูญใหม่และการปฏิรูปประเทศ ที่โรดแมปของ คสช.กำหนดให้มีการเลือกตั้งในต้นปี พ.ศ. 2559 ก็ยิ่งทำให้คนไทยส่วนใหญ่หวาดวิตกกังวลว่า การเลือกตั้งภายใต้การปฏิรูประบบการเมืองการปกครองและด้านสังคมอื่นๆ ที่ถูกจำกัดโดยระยะเวลาอาจไม่สอดคล้องทันการณ์ ทำให้การเลือกตั้งได้มาซึ่งนักการเมืองและพรรคการเมืองแบบเดิมๆ ก่อเกิดปัญหาต่อประเทศชาติแบบเดิมๆ อย่างที่กูรูทางการเมืองหลายท่านปรามาสว่าการก่อรัฐประหารครั้งนี้จะ “เสียของ” เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
ในส่วนตัวผู้เขียนเอง ก็ได้แต่ปลง และทำได้แค่สมมติกันเล่นๆ กับไอ้ทิด เพื่อนทุกข์เพื่อนยาก ดังนี้ครับ
“แค่สมมติโว้ยไอ้ทิด!”
สมมติว่าข้าเล่นเป็นนายกฯ
ไอ้ทิดเอ็งอย่าตลกทำขบขัน
นายกฯ อย่างข้าจะเท่าทัน
ไม่มีวันโอละเห่โอละชา
ข้าจะกุมคำสัตย์อย่างครัดเคร่ง
ไม่มีเกรงสาริยำที่ต่ำช้า
ทำตามน้ำพิพัฒน์สัตยา
จัดการชั่วที่ชินชาล้างสามานย์
ไอ้ทิดเอ๋ยข้าเชื่อเมื่อกล้าทำ
มวลชนคือเสาค้ำความอาจหาญ
ไม่ยืดยาดเหยาะแหยะไม่หย่อนยาน
ไอ้ทิดเอ็งก็ต้องกรานกราบนายกฯ
กล้าชี้ถูกชี้ผิดไม่บิดตะกูด
รู้บทพูดบทนิ่งไม่เน้นตลก
ไม่พูดมากพูดพร่ำเหมือนเพ้อพก
ถึงบทชกก็ต้องชกไม่ตีกรรเชียง
ไอ้ทิดเอ็งก็เห็นเขาเล่นกัน
ถ้าข้าเป็นอย่างนั้นให้ดึงเหนียง
นายกฯ อย่างข้า จะกล้าเอียง
อยู่ข้างเคียงความถูกต้องอย่างซื่อตรง
ไอ้ทิดเอ๋ยข้าเสียดายให้ตายเถิด
เราก็เพริดแค่สมมติหลุดให้หลง
ความจริงแท้ทุกทิศทางยังดำรง
เอ็งกับข้าก็คง...แค่สมมติ!
ว.แหวนลงยา