xs
xsm
sm
md
lg

จับตาถ่ายโอนอำนาจ จาก “บิ๊กตู่” สู่ “บิ๊กป้อม”

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ข่าวปนคน คนปนข่าว

เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย ในรอบปี 2557 ที่ผ่านมา บ้านเมืองเราเกิดเหตุการณ์เป็นที่โจษขานไปทั่วโลกหลายเรื่องหลายประเด็น ถือเป็นอีกหนึ่งปีวิกฤติที่คนไทยไม่ค่อยอยากจะจดจำสักเท่าไหร่ วิกฤตการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 แล้ว หากจำกันได้ สาเหตุหลักก็มาจากการเคลื่อนไหวต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษสุดซอย เป็นเชื้อชนวนสำคัญต่อๆ มาอีกหลายทอดหลายชนวน

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ขับเคลื่อนโดยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นเซกเตอร์ใหญ่ที่กุมอำนาจการเมืองไว้ส่วนหนึ่งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ระยะหลังมีความพยายามจะช่วยเหลือนักโทษที่ระหกระเหินอยู่ต่างแดนกลับบ้านให้ได้ เป็นที่มาของนิรโทษสุดซอย เข้าล็อกฝ่ายต้านที่นำโดยประชาธิปัตย์ และ กปปส. ใช้เป็นประเด็นเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาล จนที่สุดแล้วต้องล้มไปอีกครั้งด้วยการยึดอำนาจของกองทัพ ท่ามกลางคำถามว่าเมื่อไหร่ประเทศไทยถึงจะไม่มีการปฏิวัติ

22 พ.ค. 2557 ปฏิวัติอีกครา ครั้งนี้นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้น แต่ตอนนี้โดดมาเป็นนายกรัฐมนตรีควบด้วยตำแหน่งหัวหน้า คสช. มองกันด้วยชื่อชั้นตำแหน่ง ถือว่าควบรวมอำนาจเบ็ดเสร็จประเทศไทย แต่ทว่าความจริงวันนี้อาจไม่ใช่เช่นนั้น อำนาจที่ว่าประยุทธ์กุมไว้ไม่ได้ทุกส่วน!!!

เพราะยังมี “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยืนเป็นเงาทะมึนอยู่ด้านหลัง แม้อำนาจทั้งหมดจะอยู่กับกลุ่มทหารบูรพาพยัคฆ์ แต่รู้กันเป็นนัย อำนาจยังทับซ้อนกันอยู่ระหว่าง “บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม”

ตอนปฏิวัติเสร็จใหม่ๆ แล้วฟอร์ม ครม. ยังเดากันอยู่นายกฯจะเป็นใคร ท่ามกลางเสียงนินทากระเซ็นกระสาย “บิ๊กป้อม” ก็จ้องหยิบชิ้นปลามัน ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ความเหมาะสมและเรื่องภาพลักษณ์ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ ดูดีกว่า พร้อมกับเสียงเชียร์ให้ชงเองกินเอง อย่า “เสียของ” เหมือนสมัย “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. ที่ผันตัวมาเล่นการเมืองเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิในภายหลัง

ยังไม่รู้ว่าในอนาคต “บิ๊กตู่” คนดีของแผ่นดินจะเลือกเส้นทางเดินอย่างไร จะคงอยู่ในอำนาจต่อหรือวางมือ และจะอยู่ต่อด้วยวิธีไหน จะเล่นการเมืองหรือไม่ จะเดินตามรอยรุ่นพี่อย่าง “สนธิบัง” หรือไม่ แต่เบื้องต้นทั่นนายกฯก็ออกตัวแล้วว่าไม่สนใจจะสืบสานอำนาจด้วยการโดดมาเล่นการเมือง

ถามถึงเรื่องลงเลือกตั้ง เรื่องตั้งพรรคการเมือง ออกอาการเดือดดาลทุกครั้ง พร้อมยกตัวอย่างนักการเมืองมาเหน็บแนม ตอดเล็กตอดน้อยอยู่เรื่อย ว่าทำบ้านเมืองเสียหายบ้าง ทำประเทศขัดแย้งบ้าง ตัวเองไม่สนใจการเมือง ก็ไม่รู้สินะ ถ้าจับพลัดจับผลูทั่นลงมาเล่นการเมืองในท้ายที่สุด คนจะนินทากันขรมเมืองแค่ไหน

แต่จากท่าทีและข้อมูลเชิงลึกแล้ว ชี้ชัดว่า “บิ๊กตู่” ไม่เอา น่าจะเฟดตัวออกจากการเมืองหลังภารกิจคืนความสุข เสร็จสิ้น ไม่ปี 58 ก็เต็มที่ปี 59 นานกว่านี้มีเรื่องแน่ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นคงต้องจับตาดูท่าทีเป็นระยะ อาจมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์พลิกผันทำให้พล.อ.ประยุทธ์ต้องลุกออกจากตำแหน่งนายกฯก่อนเวลาอันควรก็เป็นได้!!!

ในทางกลับกันคนที่ดูแล้ว “เอาแน่” และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเล่นการเมืองต่อเนื่องไปคือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ของน้องๆ “บิ๊กป้อม” คือคนที่ถืออำนาจตัวจริงของค่ายบูรพาพยัคฆ์ ที่วันนี้ใหญ่คับฟ้า

ทั้ง วงสนทนาการเมือง พูดจากันสนุกปาก ทหารแบ่งเป็น 2 ขั้ว “บิ๊กป้อม” กำลังจะมาเป็นแกนกลางอำนาจตัวจริงแทนที่คนเก่า?!?

และก็มีข่าวตลอดมาว่าเตรียมตัวเล่นการเมืองจับมือกับทั้ง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เสนาะ เทียนทอง แกนนำพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังเงียบๆ นิ่งๆ อยู่ ถามใครก็ปฏิเสธเป็นพัลวัน เช่นเดียวกับยี๊ห้อยร้อยยี่สิบ เนวิน ชิดชอบ พ่อใหญ่แห่งค่ายภูมิใจไทยตัวจริงที่หลบอิงอยู่หลังฉากด้วยการทำทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปล่อยให้เด็กในคาถามออกมาเล่นจำอวดหน้าม่านแทนในช่วงที่ผ่านมา

เป็นที่รู้ว่ากันเนวินถือเป็นคีย์แมนคำสำคัญของ “บิ๊กป้อม” ตัวจริงเสียจริง สนิทสนมกันมาตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้กระทั่งยุครัฐบาลบิ๊กตู่ หลายเรื่องก็ยังปรึกษาหารือกันอยู่เป็นระยะ ในอนาคตหากพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ลงเล่นบนกระดานการเมืองเต็มตัว จึงเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะไร้เงานักการเมืองปากห้อยรายนี้

แม้ปัจจุบันจะรูดซิปปาก ทำตัวโลว์โปรไฟล์ทางการเมือง แต่เขี้ยวเล็บและเหลี่ยมคูของเนวินจัดเป็นที่ต้องการของนักการเมืองทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ครั้งนักโทษชายทักษิณเรืองอำนาจที่ถูกเปรียบว่าเป็นไอ้ห้อยไอ้โหนประจำตัวนายกรัฐมนตรี ดังกูรูคู่คิดทั้งเรื่องการบริหารและเกมการเมืองจนเป็นที่ไว้วางใจ สืบเนื่องมาจนเปลี่ยนขั้วกระโดดมาอยู่กับค่ายสีฟ้า พระสุเทพที่ตอนนั้นนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีก็เรียกใช้บริการมันสมองพ่อใหญ่แห่งบุรีรัมย์เป็นระยะ

มายุคนี้ แม้ตัวไม่โผล่ แต่ก็ส่งพ่อตัวเองอย่าปู่ชัย ชิดชอบ เข้ามาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และนักธุรกิจหลายคนที่เชื่อมโยงกับเขา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนักการเมืองรายนี้ที่เหล่าท็อปบูตเองยังต้องพึ่งบริการ เพราะต่อให้ทหารจะเก่งกาจเรื่องสู้รบปรบมือแค่ไหน แต่ก็ยังกินฝุ่นบรรดานักการเมืองบ้านเราอยู่หลายขุม ดังนั้น ต้องมีคนแบบนี้มาเป็นกุนซือเพื่อให้ช่ำชองเกมการเมือง

แล้วตัวเนวินเองแม้ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาจะมีเรื่องสีเทาเป็นตราประทับ แต่ในทางการเมืองแล้วเคยมีการเปรียบเปรยกันว่า มันสมองของเขาเพียงพอที่จะต่อกรกับคนอย่างนักโทษชายทักษิณได้ รู้ทันความคิดของอีกฝ่ายตลอด ขณะที่วิสัยทัศน์การบริหารประเทศยังก้าวไกลต้องตาตรงใจกับฐานเสียงชาวรากหญ้า หากต้องการจะทลายขุมอำนาจทักษิณก็ต้องมีคนอย่างเนวินไว้สักคน

ที่ผ่านมา เห็นได้ดีกับหลักคิดของนักการเมืองเจ้าของฉายายี๊ห้อยร้อยยี่สิบรายนี้ ตั้งแต่การยกระดับจังหวัดบุรีรัมย์จากเมืองแวะพักให้เป็นปลายทางของนักท่องเที่ยว สร้างทีมฟุตบอลจนประสบความสำเร็จมากมาย สามารถแปรเปลี่ยนความเกลียดมาเป็นความศรัทธาให้ตัวเองได้ไม่น้อย ดังนั้น หาก “บิ๊กป้อม” ต้องการจะทำพื้นที่ เขาเหมาะที่สุดสำหรับเรื่องนี้

ส่วนที่ลั่นวาจาเอาไว้ว่า ไม่เอาอีกแล้วการเมือง เชื่อขนมกินรอได้ หาก “บิ๊กป้อม” สลัดคราบท็อปบูตมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวมีอันต้องเกี่ยว “น้องเน” คัมแบ็กกลับมาแน่ ต่อให้ต้องกลืนน้ำลายก็ตาม

ขณะที่ขุนพลเศรษฐกิจ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิก คสช. เป็นไปได้สูง เพราะฝีมือจัดอยู่ในระดับชั้นเซียน ที่แห้วเก้าอี้ในรัฐบาลนี้ ส่วนหนึ่งมาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่เขียนคุณสมบัติล็อกพวกมีมลทินเอาไว้ กับอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะคู่เกาเหลาอย่าง “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่ใช้ความสนิทสนมกับพี่ใหญ่แห่งค่ายบูรพาพยัคฆ์เข้าวินมาคุมอำนาจทางเศรษฐกิจไว้ได้ ทำให้อดีตขุนคลังยุคทักษิณต้องหลบไปอยู่หลังฉาก

แต่การหลบหลังฉากไม่มีปัญหาสำหรับสมคิด เพราะที่ผ่านมาทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” ต่างเรียกใช้บริการอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเจรจาด้านการค้าต่างๆ ลัดฟ้าไปไหนมีอันต้องเหน็บเป็นเงาตามตัวติดไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อครั้งไปเยือนประเทศจีน หรือเรียกผู้บริหารสื่อ 16 คนไปหารือ ก็ใช้บริการสมาชิก คสช. คนนี้คอยตอบประเด็นเศรษฐกิจ มากกว่าเลือก “หม่อมอุ๋ย”

ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวเหมือนกันว่า คนอย่างสมคิดที่เคยผ่านตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีมาแล้ว หากจะคัมแบ็กสู่สนามการเมืองต้องพาสชั้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีสถานเดียว แต่ปัญหาของเขาติดตรงใจเสาะ ทั้งเรื่องทุนและแรงผลัก ทำให้มักเป็นได้แค่แคนดิเดตอยู่ในช่วงที่การเมืองเกิดวิกฤตเท่านั้น ดูแล้วหาก “บิ๊กป้อม” ต้องการสวมยูนิฟอร์มเป็นนายกรัฐมนตรี สมคิดน่าจะเป็นเพียงขุนคลังเช่นเดิม

แล้วการได้สมคิดมา จะทำให้หน้าตาทีมเศรษฐกิจของ “บิ๊กป้อม” ดูดี เพราะเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดี ได้รับการยอมรับจากนักธุรกิจ สามารถคอนเน็กด้านการค้าเป็นของสมนาคุณทั้งนักลงทุนในประเทศหรือต่างชาติเอง ต่างจาก “หม่อมอุ๋ย” ที่หลายคนฟันธงว่า หมดยุคยิ่งใหญ่ไปแล้ว

ให้คอยดูหลังเปลี่ยนผ่านอำนาจจาก “บิ๊กตู่” ไปสู่ “บิ๊กป้อม” ให้ดี ก่อนมีการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ทีมงานป้อมแอนด์เฟรนด์เหล่านี้จะเริ่มขยับให้เห็นเป็นตัวเป็นตน

แล้วการลงนามครั้งนี้ “บิ๊กป้อม” เองหวังสูงถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศ มีการเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเคยมีหมอดูทำนายทายทักว่า หากไม่แต่งงานดวงของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์จะไต่ระดับไปสู่จุดสูงสุดได้ ทำให้จวบจนบัดนี้ในทางนิตินัยยังอยู่ในสถานะโสด

มีบ่อยครั้งเวลา “บิ๊กตู่” ออกนอกประเทศทีไร มักมีนักข่าวจะแซวเรื่องนี้อยู่เสมอ เรียกรักษาการนายกฯ บ้าง ทั่นนายกฯ บ้าง ในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 แม้ “บิ๊กป้อม” จะทำฉุนเฉียวด่ากราด แต่นักข่าวที่สนิทสนมรู้กันว่า ลึกๆ ในใจก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องไม่น้อย

เพียงแต่ครั้งนี้ต้องหลีกทางให้น้องได้เป็นก่อน เพราะบารมีนั้นยังไม่ถึง ภาพลักษณ์ดูมองว่าเป็นมาเฟีย สืบเนื่องจากคนใกล้ชิดและเครือข่ายที่เป็นไปในด้านมืด อีกทั้งกระแสสังคมเรียกร้องให้ “บิ๊กตู่” ขึ้นแท่นเอง เพราะแบรนด์เรื่องความเด็ดขาด ไม่มีภาพโกงกิน ตรงไปตรงมา โพลไม่รู้กี่สำนักเทคะแนนความนิยมให้กันจนแทบทะลัก หากฝืนสังคมช่วงนั้นการเมืองอาจแกว่งได้ เพราะประชาชนไม่ยอมรับ

แต่หาก “บิ๊กตู่” วางมือตามคำสัญญาที่ให้ไว้ว่า เข้ามาแก้ปัญหาเท่านั้น ไม่ได้หวังเล่นการเมืองยาวๆ เพื่อสืบทอดอำนาจ เมื่อทำตามคำสัตย์เสร็จก็ลาจาก จบด้วยภาพผู้กู้วิกฤต อย่างนั้นมีแต่เสียงปรบมือ เพราะไม่ได้กลืนน้ำลายตัวเองด้วยฤทธิ์อำนาจเหมือนผู้นำรัฐประหารหลายๆ ยุค เมื่อเป็นเช่นนี้ยังไงก็หมดตัวเล่น ต้องเป็น “บิ๊กป้อม” แบเบอร์ที่จะมารับไม้ต่อ

ซึ่งดูท่า “บิ๊กตู่” แล้วน่าจะกลับออกไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานมากกว่า ขออยู่ในฐานะวีรบุรุษเท่านั้น ปล่อยให้พี่ใหญ่ ที่ขุมข่ายและองค์ประกอบต่างๆ พอจะต่อกรกับขั้วตรงข้ามได้ เล่นบนฟลอร์ต่อไป

อย่าลืมว่า แม้ภารกิจของรัฐบาลชุดนี้จะสิ้นสุดเมื่อประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้ แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่การปฏิรูปทั้งหมดจะเสร็จทั้งหมด ต่อให้ในรัฐธรรมนูญจะมีการเขียนกลไกบังคับให้งานได้รับการสานต่อไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนมาก็ตาม พลันที่นักการเมืองเข้ามาก็หาช่องรื้อจนได้ ปฏิรูปที่เริ่มต้นดีอาจกลายเป็นบ้องกัญชาในตอนจบ แล้วคนที่โดนด่าก็คือ “บิ๊กตู่” นั่นแหละ เพราะไม่ทำให้สะเด็ดน้ำทีเดียว เท่ากับว่าที่ทำๆ กันมาเสียของโดยเปล่าประโยชน์

แน่นอนผู้มีอำนาจชุดนี้ไม่มีใครอยากโดนด่าหลังพ้นเก้าอี้ไปแล้วเหมือนกัน ยังไงก็ไม่ไว้วางใจคนอื่นนอกจากตัวเอง จึงจำเป็นต้องดันก้น “บิ๊กป้อม” เข้ามากุมอำนาจต่อตามช่องทางธรรมดาคือ การเลือกตั้ง ไม่ใช่ทางด่วนลัดพิเศษเหมือนรัฐประหารครั้งนี้ เพราะมันสง่างามกว่ากันเยอะ

อีกอย่าง แม้ตัว “บิ๊กป้อม” เองจะไม่ป็อบปูล่าจนกอบโกยความนิยมมาให้ตัวเองได้ แต่นั่นเป็นกติกาเก่าที่ถูกฉีกทิ้งไปแล้ว ซึ่งหากสุดท้ายคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยึดเอาระบบการเลือกตั้งแบบเยอรมันมาใช้ พรรคเล็กพรรคน้อยจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก ขณะที่พรรคใหญ่เก่าๆ ที่เคยผูกขาดจะถูกหารคะแนน ไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนเดิมอีกแล้ว พรรคตัวเลือกใหม่ๆ จะเยอะขึ้น

ขณะเดียวกัน ในรัฐธรรมนูญถาวรที่กำลังร่างกันอยู่จะมีระบบกลั่นกรองนักการเมืองที่ต้องทุจริตไม่ให้กลับเข้าสู่เส้นทางอีก ซึ่งจะตัดคู่ต่อสู้ออกไปได้ไม่น้อย ดังนั้น ต้องจับตาการร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ด้วยว่า จะเป็นการเขียนเพื่อสืบทอดอำนาจให้กับตัวเองทางอ้อมหรือไม่

นอกจากนี้ ต้องจับตาบทบาทของ “บิ๊กป้อม” ในห้วงโรดแมประยะที่ 2 หรือในปี 58 ให้ดี เพราะจะมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามามีส่วนในการตัดสินทั้งทางเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เช่นเดียวกับบทบาทในการบริหารกลุ่มการเมือง “บิ๊กป้อม” จะค่อยๆ ควบรวมอำนาจจาก “บิ๊กตู่” มาอยู่ที่ตัวเอง

การเดินเกมต่างๆ จะเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะกุมกำลังใหญ่อยู่แล้ว มากกว่า “บิ๊กตู่” ด้วยซ้ำ แถมยังคอนเน็กชั่นกับกลุ่มการเมืองได้หลายกลุ่ม ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของนักโทษชายทักษิณเองก็ตาม เรียกว่า มีทั้ง “บู๊” และ “บุ๋น” อยู่ในมือเพียบ

ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการปรับ ครม. ที่มีข่าวแว่วๆ ออกมาเหมือนกันว่า พี่ใหญ่จะขอจัดขุมกำลังด้วยตัวเอง บางคนแม้ขัดใจน้องก็ต้องยอม ให้จับตาดูการฟอร์มทีมหลังจากมีการปรับ ครม. ประยุทธ์ 2 ได้ ไปสืบค้นสาแหรกแต่ละคนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ถูกเข็นขึ้นมาเป็นเสนาบดีได้เพราะคนนี้แน่ ดูหนังตัวอย่างก่อนหน้านี้ที่ไม่ว่าจะเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สปช. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 70% “บิ๊กป้อม” ดันก้นมาทั้งนั้น

ขณะที่งานสำคัญๆ ของรัฐบาลต่อจากนี้จะผลักให้เป็นหน้าที่ของ “บิ๊กป้อม” ได้ออกมาโชว์ลวดลายบนฟลอร์ ดังจะเห็นว่า ระยะหลังๆ เจ้าตัวเริ่มพูดมากขึ้น จากแรกๆ เวลาโดนนักข่าวตื๊อถามมักจะมีแต่คำด่าออกมา

เรื่องของเรื่องเพราะได้เวลาแนะนำตัวต่อสังคมกันแล้วในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากมือหนึ่งไปสู่มือหนึ่งแบบแนบเนียน อาจพรวดพราดขึ้นมาเป็นนายกฯแทนเลยก็ได้ หรือไม่ก็ปูทางไว้เลือกตั้งภายใต้กติกาที่พรรคพวกเขียนเอื้ออำนวยไว้ให้

เป็นปีที่ต้องจับตา “บิ๊กป้อม” อย่าให้กะพริบ
กำลังโหลดความคิดเห็น