“ประยุทธ์” นั่งไม่ติด ขันนอต ครม.สัญญาณปรับใหญ่กำลังมา!?

ผ่าประเด็นร้อน

จะเป็นเพราะยังไม่มีผลงานออกมาเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง หลังจากบริหารบ้านเมืองในฐานะรัฐบาลมาครบ 3 เดือนเต็ม ทำให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกตัวว่า “ยังไม่ค่อยพอใจ” กับผลงานของรัฐบาลที่ออกมานัก

อย่างไรก็ตาม หากนับการบริหารในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เข้าควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมเป็นต้นมา ก็ถือว่าผ่านมาเกิน 6 เดือนแล้ว ระยะเวลาแบบนี้ในฐานะผู้นำการบริหารรับรองว่าไม่น้อย

แม้ว่าในด้านการรักษาความสงบจะถือว่ามีความโดดเด่น หากมองเพียงแค่ว่าไม่มีการชุมนุมประท้วง มีการปิดถนนจนมองว่ามีความวุ่นวาย แต่ภายใต้กฎอัยการศึกบังคับค้ำคออยู่มันก็อาจเป็นคำตอบว่าทำไมถึงได้สงบเงียบแบบนี้ ขณะเดียวกัน อาจเป็นเพราะชาวบ้านยังให้โอกาส ยังมีความหวังกับการปฏิรูปบ้านเมืองในบ้านเมืองให้ดีขึ้นทุกด้านตามที่รับปากกันเอาไว้ โดยเฉพาะการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เชื่อมั่นกันว่าจะสามารถคนโกง ไม่ให้เข้ามาสู่วงการเมือง และป้องกันข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบได้มากขึ้น แทบทุกคนยังหวังไว้อย่างนั้นมาตั้งแต่ต้น จึงได้ให้โอกาส

แต่ตราบใดก็ตามที่ชาวบ้านเริ่มเห็นแล้วว่าแนวทางเริ่มผิดเพี้ยนไป เหมือนอย่างที่ในเวลานี้เริ่มได้เห็นร่องรอยบางอย่างปรากฏออกมา แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนแบบฟันธงได้ เพราะยังมีขั้นตอนอีกนาน แต่ก็ทำให้เริ่มมีการจับตามองกันบ้างแล้วว่าจะมีการ “หมกเม็ด” บางอย่างหรือไม่ อย่างเช่น การยกร่างรัฐธรรมนูญเปิดทางให้นายกฯ มาจาก “คนนอก” ได้ นั่นคือไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. อ้างว่าเพื่อเป็นอีกทางเลือกป้องกันทางตันทางการเมือง

คำถามก็คือ ในเมื่อมีการออกแบบรัฐธรรมนูญป้องกันคนชั่ว คนเลวไม่ให้เข้ามาแล้ว มีกระบวนการตรวจสอบป้องกันแบบใหม่กันอย่างเข้มงวด มีระบบจริยธรรม คุณธรรมกำกับรักการเมืองกันแล้ว ทำไมถึงเปิดช่องไว้สำหรับวิกฤตการเมือง เพราะถ้าใช้ได้ผลก็ไม่น่าจะเกิดวิกฤต และวิกฤตที่เคยเกิดขึ้นร้อยทั้งร้อยล้วนมาจากนักการเมืองชั่ว ทั้งสิ้น

ดังนั้น คำถามที่เกิดขึ้นก็คือการเปิดทางให้มี “นายกฯ คนนอก” ได้ นั้นเป็นการเปิดช่องเอาไว้ให้ใครกันแน่ และเชื่อว่าอีกไม่นานในประเด็นนี้จะมีการถกเถียง และต่อต้านกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่ผ่านมาประเด็นนี้ถือว่าอ่อนไหว และคัดค้นนจนตกผลึกกันไปหลายครั้งแล้ว!!

เพียงแต่ว่าเส้นทางข้างหน้ายังอีกนาน เพิ่งแย้มหัวออกมาให้เห็นเท่านั้นยังไม่ถึงเวลาต้องออกแรง แต่อีกไม่นานหากยังเดินหน้าแบบนี้คงสนุกแน่

วกมาที่ผลงานรัฐบาล ในรอบ 3 เดือน ที่แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังออกปากว่ายังไม่พอใจ แม้ว่าจะถูกมองนี่คือการออกตัวเพื่อลดเสียงวิจารณ์จากภายนอกก็ตาม แต่ในความเป็นจริงสำหรับเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง ในช่วงเวลาดังกล่าวอาจจะเรียกว่า “ยังสอบไม่ผ่าน” ก็ว่าได้ หากเทียบกับกลไกมือไม้ที่มีอยู่ครบเครื่อง ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จแต่สามารถ “ขับเคลื่อน” เป็นไปได้เพียงแค่นี้ มันก็เริ่มน่าผิดหวังได้เหมือนกัน

เพราะเมื่อพิจารณาจากอารมณ์ในวันแถลงผลงานรัฐบาล 3 เดือน นายกรัฐมนตรีถึงกับแสดงความไม่พอใจระบบขั้นตอนต่างๆ ที่ทำให้งานหลายอย่างล่าช้าติดขัด ที่เอ่ยปากออกมาเองก็คือเรื่องการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรทั้งชาวนาและชาวสวนยางพาราที่จนบัดนี้ยังเดินหน้าได้ไม่ครบ จนต้องมีการคาดโทษจี้ก้นกันให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะให้หาทางเบิกจ่ายให้ทันการณ์ ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหาในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณที่เป็นความหวังในด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ก็มีความหมายไม่ต่างกัน คือล่าช้าอืดอาด อ้างส่าติดระบบขั้นตอนราชการอะไรมั่ง แต่คำถามก็คือในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือก็น่าสงสัยว่าทำไมไม่ใช้กลไกพิเศษแก้ไข ซึ่งที่ผ่านมาก็มักได้ยินว่ารัฐบาลได้มีการออกกฎหมาย หรือแก้ไขกฎหมายสำคัญที่เป็นอุปสรรคหมักหมมมานานมากมาย

อย่างไรก็ดี เมื่อยอมรับว่ายังไม่พอใจผลงานรัฐบาลที่ผ่านมา จึงสั่ง “ขันนอต” กระตุ้นการทำงานของบรรดารัฐมนตรีกันยกใหญ่โดยให้เวลาอีก 3 เดือนข้างหน้าต้องมีผลงานเป็นรูปธรรม โดยมีการมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้กำกับดูแล “ตรวจการบ้าน” มาก่อนนำเสนอให้ทราบ มองอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณอย่างเป็นทางการว่าจะมีการ “ปรับใหญ่” หลังผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปแล้ว เพราะถ้าบอกว่าทีมเศรษฐกิจยังมีผลงานไม่เข้าตาแล้วก็ยังมีอีกหลายกระทรวงที่ไม่ต่างจากรัฐมนตรีที่ “โลกลืม” เพราะจนถึงวันนี้แทบจะไม่รู้เลยว่ายังมีชื่อรัฐมนตรีเหล่านี้อยู่บนโลกด้วย

ขณะเดียวกัน การปรับใหญ่ที่หากจะมีขึ้นก็น่าจะเป็นปรับปรุงจูนเครื่องกันให้มีการทำงานเข้าขากันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเวลาที่เหลือและเวลาที่ผ่านมารวมกันแล้วถึงตอนนั้นอายุรัฐบาลก็มีอายุกว่า 6 เดือนแล้ว หากยังเอื่อยแฉะมีผลงานไม่คุ้มค่ามันก็ย่อมส่งผลกระทบต่อความศรัทธาของผู้นำในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้!