ผ่าประเด็นร้อน
เชื่อว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็คงจะมีการแถลงผลงานของรัฐบาล ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากบริหารราชการมาครบ 3 เดือน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีคำสั่งให้แต่ละกระทรวงเริ่มรวบรวมผลงานส่งเข้ามาก่อนนำมาแถลงเป็นผลงานออกมา นอกเหนือจากการให้แต่ละกระทรวงทยอยชี้แจงผลงานของตัวเองออกมา
อย่างไรก็ดี คำถามก็คือ รัฐบาลชุดนี้มีผลงานอะไรบ้างที่สามารถจับต้องได้ และทำให้ชาวบ้านเกิดความรู้สึกร่วม
แน่นอนว่าหากพิจารณากันถึงบรรยากาศความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ หลังจากการเข้ามายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ต้องยอมรับว่าสงบเรียบร้อยขึ้น ไม่มีการประท้วงรายวัน ไม่มีชายชุดดำ หรือในชุดอื่นใช้อาวุธสงครามคอยลอบทำร้ายชาวบ้านที่ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล ถ้าอย่างนี้เรียกว่าเป็นการสร้างความสงบก็คงม่มีใครเถียง แต่ขณะเดียวกัน ภายใต้ “กฎหมายพิเศษ” อย่างกฎอัยการศึกที่ควบคุมเข้มงวด ไม่ให้กระดิกแบบนี้มันก็เป็นการสร้างบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นมา ลักษณะจึงไม่ต่างจากอาการเก็บกดพิกล
อย่างไรก็ดี หากกล่าวว่ายังเป็นช่วงที่ชาวบ้านให้โอกาสอยากเห็นการปฏิรูปทุกภาคส่วนเกิดขึ้นมาในอนาคตข้างหน้า และระหว่างนี้ก็อยู่ในช่วงของการเดินไปตามโรดแมป กำลังมีการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีสภาปฏิรูป รับฟังความเห็นเพื่อกำหนดทิศทางข้างหน้าทำให้พวกเขารอได้ อดทนรอหวังว่าจะเกิดผลสำเร็จตามความหวังในอีกไม่นาน
แต่หากพิจารณาจากความเป็นจริง เพื่อแสดงถึงผลงานของรัฐบาลก็ต้องบอกว่ายังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ยังไม่มีความประทับใจเกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องราคาสินค้าเกษตร นอกจากไม่ดีขึ้นแล้วยังต้องพูดกันตรงๆ ว่า “ล้มเหลว” แทบจะเรียกว่าสิ้นเชิงก็ว่าได้ และแน่นอนว่าหากบอกว่าล้มเหลวก็ต้องชี้ไปที่ “หัวหน้าทีม” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คือ รองนายกฯ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่ผลงานออกมาน่าผิดหวังไม่สมราคาคุย ต่างกับการวิจารณ์อยู่ข้างนอกแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน ก็คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรกที่ผลักดันออกมา 3.6 แสนล้านบาท ผ่านมานับเดือนแล้วแทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเบิกจ่ายเป็นไปด้วยความล่าช้า ซึ่งเรื่องความล่าช้าเฉื่อยชาไม่ได้ต่างจากการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละหนึ่งพันบาท ไม่เกิน 15,000 บาท ที่จนถึงวันนี้ยังจ่ายกันไม่ครบ ไม่ต้องมาพูดถึงเงินช่วยเหลือชาวสวนยางที่มาทีหลังในจำนวนที่เท่ากันว่าจ่ายไปได้กี่หยิบมือแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งที่ค้างท่อของเก่า และงบประมาณปี 58 ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ทุกอย่างยังล่าช้าเหมือนเดิม และนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินจากภาครัฐที่จะลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน หลายโครงการใหญ่ เช่น กระทรวงคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ การก่อสร้างถนน ที่หากพิจารณาให้ดีล้วนเป็นโครงการเก่าที่นำมาสานต่อ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากการ “ลอกการบ้าน” จากรัฐบาลก่อน เพียงแต่นำมาตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส แต่จนถึงบัดนี้ยังแทบจะไม่ได้เดินหน้าเลย
มิหนำซ้ำ ที่ผ่านมา ยังมีความพยายามปล่อยข่าวโวยวายในทำนองว่าตัวเองถูกวางยาจากเครือข่ายอำนาจเก่า ถูกขัดขวางจากผู้บริหารในบางหน่วยงาน เช่น ใน รฟม. ในการรถไฟฯ ทำให้การบริหารมีความยุ่งยาก โดยหลงลืมไปว่าอีกด้านหนึ่งเท่ากับเป็นการประจานการบริหารของตัวเองแท้ๆ เพราะภายใต้อำนาจพิเศษแบบนี้ยังปล่อยให้มีรายการเกียร์ว่างหรือถูกขัดขาแบบนี้ก็สมควรพิจารณาตัวเองได้แล้ว
อย่างไรก็ดี ก็ยังถือว่าโชคช่วยที่ในเวลานี้ภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในช่วงขาลงอย่างหนัก เวลานี้ลดลงไปกว่าร้อยละ 50 ทำให้ต้นทุนราคาสินค้าและค่าขนส่งบางประเภทลดต่ำลง
แต่สิ่งที่น่าจับตาต่อไป ก็คือ รัฐบาลเตรียมปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม อ้างว่าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทั้งที่หากราคาน้ำมันลดลงอย่างฮวบฮาบ ราคาก๊าซก็ต้องลดลงมาด้วย หรืออย่างมากก็ไม่ปรับขึ้น และที่ผ่านมาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีมติเพียงแค่ลดราคาน้ำมัน ยังไม่ประกาศขึ้นราคาก๊าซ เนื่องจากถูกจับตามองจากสังคม แต่เชื่อว่าอีกไม่นานรัฐบาลจะต้องดำเนินการแน่
ดังนั้น ถ้าหากพิจารณาจากผลงานด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ก็ต้องบอกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้นาทีนี้ยังไม่อาจสรุปว่าล้มเหลว แต่บอกได้ว่ายังทำได้ไม่เข้าตาก็แล้วกัน !!