โฆษก กมธ.ยกร่างฯ เผยผลประชุมพิจารณา ชี้ กกต. แยกหน้าที่ให้แค่คุมเลือกตั้ง แจกใบเหลือง รับรองผล แต่แจกใบแดง โยนให้เป็นอำนาจศาล ออกแบบพิจารณารวดเร็ว จัดเลือกตั้งใหม่หน้าที่หน่วยงานรัฐ ด้าน ป.ป.ช. ยังไม่สรุปอยู่วาระกี่ปี เมินไม่ให้ฟ้องตรง อ้างต้องผ่าน อสส. เพื่อความเข้มข้นข้อ กม. ยังให้คดีโกงมีอายุความ เว้นหนี
วันนี้ (26 ธ.ค.) พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมได้พิจารณาในส่วนขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. นั้น คณะกรรมาธิการยังให้คงองค์ประกอบเดิม จำนวน 5 คน ประกอบด้วย ประธาน 1 คน และกรรมการอีก 4 คน ส่วนคุณสมบัติ กกต. จะต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต และมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ทำหน้าที่สรรหา
ในด้านหน้าที่ ได้กำหนดให้มีการแยกอำนาจการจัดการเลือกตั้งและอำนาจควบคุมการเลือกตั้งออกจากกัน คือ ให้ กกต. ทำหน้าที่เฉพาะการควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายโดยสุจริตและเป็นธรรม และไม่ให้เกิดการซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่งจะมีอำนาจวินิจฉัยให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ได้ หรือการให้ใบเหลือง หากเห็นว่ามีการจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่สุจริต หรือ ผู้สมัครลงเลือกตั้งกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนการดำเนินคดีเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้งกับผู้กระทำความผิด หรือโดนใบแดง ที่ประชุมได้สรุปให้เป็นอำนาจของศาลที่จะเกิดขึ้นตามกฎหมายประกอบการรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ กระบวนการในการพิจารณาของศาลดังกล่าวจะออกแบบให้มีกระบวนการพิจารณาที่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ขณะที่อำนาจการจัดการเลือกตั้งให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น สาเหตุที่ต้องแยกอำนาจดังกล่าวออกจากกันเพื่อต้องการให้ กกต. ไม่ต้องมาทำงานด้านธุรการเกินความจำเป็น อย่างไรก็ตาม กกต. ยังมีหน้าที่รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ได้ไม่น้อยกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ จาก ส.ส. ทั้งหมดภายใน 30 วัน นับจากวันเลือกตั้ง เพื่อให้เป็นองค์ประชุมสำหรับการเปิดประชุมครั้งแรก เพื่อตั้งนายกรัฐมนตรี และนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ยังคงองค์ประกอบเดิมไว้ คือ จำนวน 9 คน ประกอบด้วย ประธาน 1 คน และกรรมการอีก 8 คน ส่วนวาระการดำรงตำแหน่ง ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ดำรงแหน่ง 6 ปี หรือ 9 ปี ส่วนประเด็นที่เป็นข้อเสนอให้ ป.ป.ช. สามารถฟ้องตรงไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังคงกำหนดให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. คือ ต้องฟ้องผ่านอัยการสูงสุด เว้นเสียแต่เกินกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ ก็สามารถให้ ป.ป.ช. ฟ้องโดยตรงเองได้ เนื่องจากที่ประชุมมีความเห็นว่า สำนักงานอัยการสูงสุดก็เป็นหน่วยงานทางด้านกฎหมายของรัฐ จึงควรมีส่วนร่วมในการเพิ่มความเข้มข้นของน้ำหนักในข้อกฎหมายของคดี นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยังมีความเห็นว่า ยังควรให้คดีทุจริตมีอายุความต่อไป แต่จะยกเว้นการนับอายุคดีในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ทำการหลบหนี
***ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ช่างสุขุม ลุ่มลึก และมองการณ์ไกล เป็นการคืนความสุขให้กับคนไทยทั้งชาติโดยแท้จริง ถือเป็นบุญคุณที่ประชาชนต้องตระหนัก และซาบซึ้งในวิสัยทัศน์ และการทำงานหนักของนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ท่านนี้***