Peak Oil คือ จุดที่การผลิตน้ำมันดิบอยู่ในอัตราสูงสุด เจ้าของทฤษฎี Peak Oil นี้ คือ ดร. เอ็ม คิง ฮับเบิร์ต นักธรณีวิทยา ซึ่งคิดค้นแบบจำลองรูประฆังคว่ำ ในปี 1956 พยากรณ์ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เลยจากจุดนั้นปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จะลดลงเรื่อยๆ
คำทำนายของฮับเบิร์ต เป็นจริง แม้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ขึ้นถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1970 หลังจากนั้นก็ลดต่ำลงมาตลอด จึงมีผู้นำทฤษฎี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผลิตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
ความเชื่อที่ว่า น้ำมันจะหมดโลก เป็นกระแสมาแรงในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง จนทะลุบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์ เมื่อปี 2008 และหลังจากนั้น ราคาอยู่ในระดับ 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเรื่อยมา ปัจจัยสำคัญคือ ปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจีน ในขณะที่ปริมาณการผลิตเพิ่มเพียงเล็กน้อย ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่บางราย เช่น อิรัก ลิเบีย มีสงคราม จนการผลิตต้องหยุดลง
นักวิเคราะห์ที่เชื่อทฤษฎี Peak Oil ถึงกับทำนายว่า โลกจะถึงจุด Peak Oil ในปี 2020
แต่ในช่าวเวลาเพียง 3 เดือนของปีนี้ ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างต่อเนื่องจากบาร์เรลละ 90 กว่าดอลลาร์ เหลือบาร์เรลละ 50 กว่าเหรียญเท่านั้น และมีแนวโน้มว่า จะลดลงไปอีก
ทฤษฎ๊ Peak Oil ถูกหักล้างลงอย่างสิ้นเชิง
ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็วนี้ มีสาเหตุที่สำคัญคือ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น จากแหล่งผลิตใหม่ของโลก คือ สหรัฐอเมริกา ที่เรียกกันว่า เชล ออยล์ ( Shale Oil) คือ น้ำมันดิบที่อยู่ในชั้นหินดินดาน
ในอดีต การขุดน้ำมันดิบ และ แก๊สธรรมชาติ ประเภทนี้ ยังไม่มีเทคโนโลยีที่คุ้มค่าต่อการขุดขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ต่อมา สหรัฐฯ คิดค้นเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแนวขวาง (Horizontal Drilling and Hydraulic Fracturing) ด้วยวิธีอัดฉีดน้ำปริมาณมากผสมกับทรายและสารเคมีบางอย่าง ทำให้ชั้นหินดินดาน (Shale) แตกออก เพื่อที่จะดูดก๊าซหรือน้ำมัน ออกมา
ปี 2008 บ่อน้ำมันบ่อแรก ในแหล่งน้ำมัน เชล อีเกิ้ล ฟอร์ด ใกล้กับเมืองคอตูยา ในรัฐเท็กซัส ถูกขุดเจาะด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมน้ำมันโลก
ถึงแม้ เทคโนโลยี่แบบใหม่ มีราคาแพงกว่าการขุดเจาะน้ำมันแบบเดิมในตะวันออกกลาง แต่ให้ผลิตมากกว่า ต้นทุนต่อหน่วยจึงต่ำ ค่าขนส่งไปยังโรงกลั่นก็ถูกกว่า ประกอบกับราคาน้ำมันที่ทรงอยู่ในระดับสูง 100 เหรียญต่อบาร์เรล เมื่อปี 2008 -2010 ทำให้การลงทุนคุ้มค่า และเป็นแรงจูงใจให้มีการขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ที่อยู๋ในชั้นหินดินดานเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแหล่งน้ำมันใหญ่นอกจากรัฐเท็กซัสแล้ว คือ รัฐนอร์ธ ดาโกตา ซึ่งอยู่กลางประเทศ ทางด้านเหนือสุดติดกับแคนาดา
ในปี 2008 ซึ่งมีการขุดบ่อน้ำมันเชล บ่อแรก สหรัฐฯ ผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 4.7 ล้านบาร์เรล ปัจจุบัน มีบ่อน้ำมันเชล มากกว่า 200 บ่อ ผลิตน้ำมันดิบได้ วันละ 8.9 ล้านบาร์เรล
สหรัฐฯ มีกฎหมายห้ามการส่งออกน้ำมันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 น้ำมันดิบราคาถูกเหล่านี้ จึงหลั่งไหลเข้าสู่โรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐฯ ทดแทนการนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่เกือบทุกประเทศในโลกนี้
ตัวอย่างเช่น ไนจีเรีย ส่งออกน้ำมันไปยังสหรัฐฯ มา 30 กว่าปีแล้ว โดยมีปริมาณการส่งออกในปี 2010 เฉลี่ยวันละ 1 ล้านบาร์เรล แต่ปัจจุบัน ไนจีเรีย ขายน้ำมันให้สหรัฐฯ ไม่ได้เลย น้ำมันดิบจากไนจีเรียจึงต้องหาตลาดใหม่ในเอเชีย ซึ่งต้องแย่งชิงกับผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปคด้วยกันเอง เป็นที่มาของสงครามราคา
โคลัมเบีย ซึ่งขายน้ำมันส่วนใหญ่ให้สหรัฐฯ ปัจจุบัน มีจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด ในขณะที่จีนเองก็เป็นตลาดที่สำคัญของกลุ่มโอเปค
ในอดีต กลุ่มโอเปค ซึ่งมีซาอุดิอาระเบียเป็นผู้นำ ใช้การลดการผลิตเพื่อพยุงราคาในยามที่ราคาน้ำมันในตลาดโลก ลดต่ำลง แต่ครั้งนี้ ซาอุดิ ฯ ใช้วิธีลดราคาน้ำมันดิบให้กับโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ และเอเชีย เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด จึงยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดต่ำลงไปอีก
เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ อนุญาตให้เอกชนสองราย ส่งออกน้ำมันดิบได้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ห้ามการส่งออกมานาน 40 ปี แม้จะเป็นการอนุญาต เฉพาะราย และจำกัดชนิดของน้ำมัน แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะผ่อนคลายมาตรการการห้ามส่งออกน้ำมัน ซึ่งจะเป็นรายได้สำคัญที่มาช่วยลดการขาดดุลการค้า และดุลงบประมาณ
จากประเทศที่เคยนำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลก สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมัน–แก๊สธรรมชาติใช้ภายในประเทศได้อย่างพอเพียง และกำลังจะส่งออกน้ำมันแข่งกับโอเปค
นี่คือภูมิทัศน์ ใหม่ของอุตสาหกรรมน้ำมันโลก ที่กำลังเกิดขึ้น และส่งผลให้ราคาน้ำมันถูกลง