ที่ปรึกษาอนุฯ ปฏิรูปพรรคการเมือง ยื่นหนังสือ ปธ.สปช. ชี้ปัญหาหลักการเมืองคือสภามิใช่ของ ปชช. เสียงข้างมากลากไปตลอด อภิปรายเป็นแค่พิธีกรรม แนะตั้งคณะติดตาม รายงานให้ ปชช.ทราบและตัดสิน ผิดจริงพ้นเก้าอี้ มอง ส.ส.ไม่ควรนั่งบริหาร และลดลง ต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง นายกฯ ต้องมาจาก หน.พรรค
วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่รัฐสภา นายสัญญา สถิรบุตร อดีต ส.ส.กทม. และในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูประบบพรรคการเมือง ได้ยื่นหนังสือถึงนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เรื่อง “แนวทางการให้สภาเป็นของประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ” โดยนายสัญญากล่าวว่า จากการได้ศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหาการเมืองในอดีตแล้วเห็นว่าปัญหาหลักที่เป็นปัญหาของระบอบการเมือง คือการที่มีสภาที่มิได้เป็นของประชาชนซึ่งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย และเป็นปัญหาที่เกิดจากคน เกิดจากการกระทำหน้าที่ของ ส.ส. โดยตนได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามเอกสารใน เรื่อง “สภาเป็นของประชาชน” ต่อนายเทียนฉายในครั้งนี้ด้วย
โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นโอกาสที่จะกู้ศรัทธาของประชาชนคืนมา เพราะจะเห็นว่าทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในที่ประชุมสภา เสียงข้างมากของรัฐบาลก็จะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน ถือเป็นความล้มเหลวของสภาและนักการเมือง การอภิปรายจึงเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น จึงเสนอให้มีคณะบุคคลคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่รับฟังข้อเท็จจริงโดยการติดตาม รับฟังการอภิปรายแล้วสรุปประเด็นว่าฝ่ายค้านสอบถามว่าอย่างไร ผุ้ตอบตอบว่าอย่างไร ไม่มีการตอบหรือตอบไม่ตรงประเด็นหรือไม่ แล้วรายงานให้กับประชาชนซึ่งก็คือ สังคม ที่ได้รับทราบ เป็นการตั้งคำถามสดๆ ทุกวัน แจ้งให้รัฐบาลและฝ่ายค้านทราบ การดำเนินการเช่นนี้ก็เพื่อให้สังคมมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น และจะเป็นผู้ตัดสินจากการรับฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกอภิปรายมีการกระทำตามประเด็นที่ฝ่ายค้านอภิปรายหรือไม่ หากรับฟังแล้วปราศจากข้อสงสัยว่า มีการกระทำตามที่ฝ่ายค้านกล่าวอ้างก็จะพิจารณาชี้ขาดว่ามีการกระทำผิดจริงต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยให้ถือว่าข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติศาลจะพิจารณาเฉพาะข้อกฎหมายเท่านั้น
นอกจากนี้ นายสัญญายังเสนอให้ ส.ส.ต้องทำหน้าที่นิติบัญญัติเพียงด้านเดียว และจำนวน ส.ส.ควรลดลงจากปัจจุบันโดยมีไม่เกิน 200 คน ส่วนที่มาของ ส.ส.ต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง หากได้รับคะแนนเสียงต่ำกว่านี้ต้องมีการเลือกตั้งครั้งที่สอง และผู้สมัคร ส.ส.ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี เพื่อให้มีประสบการณ์การในการทำงานมาก่อน และยังต้องเป็นสมาชิกพรรคอย่างน้อย 1 ปีด้วย
ส่วนที่มาของคณะรัฐมนตรีนั้น นายสัญญาเสนอว่า ผู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสมาชิกของพรรคทุกระดับ ดังนั้นผู้นำรัฐบาลจึงต้องมาจากู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเท่านั้น