ประธาน ป.ป.ช.ระบุคุณสมบัติ “ภักดี” เรื่องเก่า ฟ้องร้องเป็นคดีจนจบไปแล้ว ยันแม้ขาดคุณสมบัติคดีที่เคยชี้มูลไม่ถือเป็นโมฆะ เหตุ กก.ป.ป.ช.เป็นผู้ลงมติ เตือนปฏิรูปองค์กรยุติธรรม ต้องเชิญไปให้ความเห็นด้วย ไม่ควรสุดโต่ง
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ให้ตรวจสอบคุณสมบัตินายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.ว่า ได้รับทราบแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว มีการฟ้องร้องเป็นคดีความในชั้นศาล มีการดำเนินการถอดถอน แต่จบไปหมดทุกอย่างแล้ว ขณะเดียวกัน การตรวจสอบคุณสมบัติมีขึ้นก่อนการเข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.อยู่แล้ว นายภักดีเองทราบ
อย่างไรก็ดีตาม ยังสงสัยว่าอำนาจหน้าที่ของตนมีสิทธิตรวจสอบกรรมการ ป.ป.ช.คนอื่นหรือไม่ และจะตรวจสอบได้อย่างไร เพราะไม่มีการระบุไว้ในกฎหมาย ดังนั้น ต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในวันที่ 18 ธ.ค.เพื่อพิจารณา และเปิดโอกาสให้นายภักดีเป็นผู้ชี้แจง
ส่วนหากมีกรรมการ ป.ป.ช.ขาดคุณสมบัติคดีที่เคยชี้มูลจะต้องเป็นโมฆะหรือไม่ นายปานเทพกล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างที่เลขาธิการ ป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ไม่น่าจะมีผลย้อนหลัง เพราะถ้ามีจะยุ่งกันใหญ่ จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะส่วนใหญ่เวลาดำเนินการจะเป็นมติของกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ไม่ใช่แค่กรรมการคนใดคนหนึ่ง
นายปานเทพยังกล่าวถึงการปฏิรูปประเทศขณะนี้ว่า ช่วงนี้มีการเสนอความคิดเห็นเยอะแยะไปหมด แต่ปฏิรูปคือการทำให้ดีขึ้น และต้องทำในสิ่งที่ทำได้ ถ้าปฏิรูปในสิ่งที่ทำไม่ได้จะมีปัญหา ก่อนปฏิรูปควรสอบถามผู้ที่เข้าปฏิบัติหรือองค์กรนั้นๆ ด้วย เช่น จะปฏิรูป ป.ป.ช.ต้องถามมาทางเราก่อน เป็นต้น จะได้ทำงานสอดคล้องกับการปฏิรูป ดังนั้น ปฏิรูปต้องเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ถ้าเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติจะไม่ใช่ปฏิรูป
ส่วนที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสนอให้ปฏิรูปองค์กรยุติธรรมทั้งหมด ท่านอาจเสนอในมุมมองของท่าน ยืนยันว่าอย่าสุดโต่ง หลักสำคัญที่สุดคือ องค์กรตรวจสอบต้องเป็นอิสระ ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยว่าต้องเป็นอิสระ ปลอดจากด้านบริหาร ถ้าไม่เป็นอิสระมันทำงานไม่ได้ และต้องดูตัวเองว่าให้เที่ยงตรงด้วย