นายกฯ หนีบ “ธนะศักดิ์ - หม่อมอุ๋ย” กล่าวเปิดงานเลี้ยงอาหารค่ำและพิธีมอบรางวัลของนิตยสารฟอร์บส์ ประเทศไทย เผยกำลังปรับปรุงมาตรการให้โปร่งใสต่อนักลงทุนต่างชาติ ลั่นนโยบายส่งเสริมการลงทุน ลดขั้นตอน และอำนวยความสะดวกทางการค้า เน้นเชื่อมโยงเพื่อนบ้าน จัดยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน 2015 - 2022 และยุทธศาสตร์การลงทุนใหม่ 7 ปี และกำหนดเอสเอ็มอีวาระชาติ ยินดีรับต่างชาติลงทุนพลังงาน
วันนี้ (9 ธ.ค.) ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธีนี ถนนวิทยุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานเลี้ยงอาหารค่ำและพิธีมอบรางวัล Forbes Asia’s Best under a Billion Award Ceremony and Dinner ประจำปี 2014 โดยมี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ธนาคารกรุงเทพ และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เป็นต้น เข้าร่วมงาน
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ไทยกลับคืนเสถียรภาพทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เร่งเดินหน้าสร้างความโปร่งใสควบคู่ไปกับการสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนที่เป็นมิตรกับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประเทศสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งนี้ ขอแสดงความยินดีกับบริษัทในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก จำนวน 200 ราย จาก 17,000 ราย ที่ประสบความสำเร็จและได้รับคัดเลือกจาก Forbes ให้รับรางวัล “Best under a Billion” ในปีนี้ โดยมีบริษัทของไทย 9 ราย ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ด้วย และเชื่อว่ารางวัลนี้จะเป็นสัญญลักษณ์ของความสำเร็จที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรุ่นใหม่ต่อไป และทราบว่า ได้มีการเปิดตัวนิตยสาร Forbes ฉบับประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 เชื่อว่าจะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทัศนะ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทยกับภาคธุรกิจและผู้ประกอบการของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ ก้าวสู่ระยะที่สองด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว การจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี การจัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อออกแบบและวางรากฐานอันมั่นคงและยั่งยืนทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และระยะที่สาม จะไม่ถอยหลังเข้าคลอง คือ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและการจัดการเลือกตั้งทั่วไป แผนปฏิบัติการ (Roadmap) จะทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทั้งไทยและต่างประเทศ มีความเข้าใจที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังจะเดินไปทางไหน โดยไม่ได้ทอดทิ้งความเป็นประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนนโยบายเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะมาตรการต่างๆ ที่จะสร้างรากฐานที่มั่นคง เพื่อให้เศรษฐกิจเข้มแข็งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยไทยเป็นแกนนำของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะจัดตั้งขึ้นในปีหน้า และเป็นพลังเชื่อมโยงและขับเคลื่อนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออก 16 ประเทศ ปีหน้าจะเข้มข้นมากขึ้น
ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องมีส่วนร่วมอย่างมีพลวัตรในห่วงโซ่การผลิต และห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มของโลก รัฐบาลกำลังปรับปรุงมาตรการต่างๆ เพื่อให้มีความโปร่งใสสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปโดยสะดวกและราบรื่น โดยจะใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่มีอยู่ ควบคู่ไปกับการสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนที่เป็นมิตรกับนักลงทุนต่างชาติ มาตรการใดๆ ที่รัฐบาลกำลังพิจารณาจะต้องมีการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างชาติด้วย เช่น การรับฟังความคิดเห็นของคณะทูตานุทูต หอการค้าต่างประเทศ และนักลงทุนต่างชาติในเรื่อง การทบทวน พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพราะการปรับปรุงกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปประเทศ ขอยืนยันอีกครั้งว่า รัฐบาลมีนโยบายด้านการลงทุนจากต่างประเทศ คือ 1. ส่งเสริมการลงทุน 2. ลดขั้นตอนการทำธุรกิจ และ 3. อำนวยความสะดวกการค้าการลงทุน สำหรับเรื่อง พ.ร.บ. นี้ กำลังศึกษาดูว่าจะพัฒนากฎหมายอย่างไรให้ก้าวสู่มาตรฐานสากลโดยไม่กระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ซึ่งพร้อมที่จะรับฟังข้อกังวลของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการอำนวยความสะดวกการค้าการลงทุนนั้น รัฐบาลจะปรับปรุงระบบการออกใบอนุญาตประกอบกิจการต่าง ๆ อาทิ สาขาธนาคาร ธุรกิจประกันภัย โรงงาน สำรวจ และทำเหมืองแร่ การขอรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม การขออนุญาตประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม โดยมุ่งให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ความมีประสิทธิภาพ และความโปร่งใสในทุกขั้นตอน
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อาเซียน เอเปก หรือ OECD ว่า ล้วนให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมโยง (connectivity) ระหว่างกัน และโดยที่ประเทศไทยมีจุดแข็งในด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นศูนย์กลางของอาเซียน รัฐบาลจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางด้านกายภาพและกฎระเบียบ เช่น การลงทุนในโครงการท่าเรือน้ำลึก และ เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในเมียนมาร์ การเชื่อมต่อระบบศุลกากรอีเล็คทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window) ของประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าด้วยกันเพื่อช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเอื้อประโยชน์ต่อการค้าการลงทุนอย่างแท้จริง
โดยรัฐบาลยังได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศไทย ระหว่างปี ค.ศ. 2015 - 2022 โดยเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ กับประตูการค้า เมืองหลักในภูมิภาค กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน (Special Economic Zone – SEZ) อีก 12 แห่งกับ เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ทั้งหมดนี้มาจากแนวคิดที่ต้องการเดินไปข้างหน้าพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้าน ปีหน้าต้องเรียบร้อย ภายใต้บริบทของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่เป็นฐานการผลิตเดียวกัน และมีการแบ่งปันความมั่งคั่งอย่างครอบคลุม
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี และได้จัดทำยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ ระยะ 7 ปี (ค.ศ. 2015 - 2021) โดยเน้นส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณค่าต่อประเทศ ส่งผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการลงทุนในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง กิจการเชิงสร้างสรรค์ กิจการเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และกิจการที่พัฒนาจากทรัพยากรในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง โดยจะประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2558
เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลได้เห็นชอบมาตรการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters: IHQ) และบรรษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Centers: ITC) ในประเทศไทย โดยลดและยกเว้นภาษี ทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมทั้งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย รวมทั้งมาตรการอื่นที่มิใช่ภาษี เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาจัดตั้งสำนักงานใหญ่และบริษัทการค้าระหว่างประเทศในไทยมากขึ้น ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งปรับปรุงระเบียบการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ เช่น จัดทำโครงการส่งเสริมการลงทุน และจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (one stop service) สำหรับทั้ง 2 กิจการต่อไป
ขณะเดียวกัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศคู่ขนานกันไป เพราะการลงทุนของไทยในต่างประเทศก็มีความจำเป็นในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมเพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านทรัพยากรในประเทศ แสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และสร้างรายได้ให้กับประเทศ สร้างธุรกิจใหม่ๆ ให้ตนไทยมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตไปไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้มแข็งและมีความพร้อมที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริม SMEs โดยกำหนดให้เป็นวาระของชาติ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสู่ความเป็นสากล โดยมีการดำเนินการที่สำคัญ อาทิ การลงทะเบียนเอสเอ็มอี จัดตั้งกองทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และช่วยแก้ไขปัญหาที่เอสเอ็มอีประสบ เช่น การเข้าถึงเงินทุน เทคโนโลยี นวัตกรรม และแหล่งข้อมูล เป็นต้น
ด้านพลังงานก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปด้านพลังงานด้วย โดยขณะนี้ รัฐบาลกำลังขับเคลื่อน 2 แผนงานหลักในการปฏิรูปพลังงาน คือ แผนการพัฒนาพลังงานทดแทน และแผนแม่บทว่าด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน โดยยินดีต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศในภาคพลังงานและมีการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารควบคู่กันไปด้วยเพราะอาหารและพลังงานเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญและต้องพัฒนาไปด้วยกันอย่างสมดุล ในฐานะครัวของโลก (Kitchen to the World) ประเทศไทยได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ภูมิภาคและโลก ความท้าทายต่อความมั่นคงทางอาหารจะต้องหาจุดสมดุลในนโยบายการนำสินค้าเกษตรไปผลิตเป็นพลังงานด้วย เรื่อง รถ ลา ม้า ช้าง สำคัญต้องไปด้วยกันได้ รัฐบาลได้กำหนดกรอบยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางอาหารของประเทศที่เน้นทั้งในด้านอุปสงค์ เช่น การเพิ่มการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม การเตรียมความพร้อมด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน และในด้านอุปทาน เช่น การเพิ่มผลผลิต การลดปัญหาการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว การรักษาเสถียรภาพของราคา การจัดแบ่งเขต (zoning) เพื่อแบ่งแยกพื้นที่เพาะปลูกอาหารจากพื้นที่ทำการเกษตรเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ และการยกมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมาว่า ได้น้อมนำปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาเป็นเวลากว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ค.ศ. 1997 และหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ประเทศไทยได้กลับคืนสู่ความสงบและความมีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม และกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงด้วยการปฏิรูปรอบด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งนี้เรื่องการปฏิรูปต้องขอเวลาสักพักนึง
“วันนี้ตนมีความสุขได้เห็นพวกท่าน ขอเชิญชวนให้ท่านเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศไทย อยากให้มากันเยอะๆ หวังว่าทุกท่านที่มาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้จะประทับใจในความเป็นเจ้าบ้านที่ดีและไมตรีจิตของคนไทย ขอให้เชื่อมั่นในประเทศไทยและเล็งเห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อนึ่ง ในปีนี้ 9 บริษัทของไทยได้รับคัดเลือกจาก Forbes ให้รับรางวัล BuB 2014 ได้แก่ 1. บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตฉนวนกันความร้อนและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3. บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้าง 4. บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) 5. บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและวิศวกรรมโยธา 6. บริษัท ทักษิณคอนกรีต จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายคอนกรีตอัดแรง รับเหมาก่อสร้าง 7. บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กและโครงสร้างเหล็ก 8. บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย ผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อโฆษณานอกบ้าน หรือ เอาท์ ออฟ โฮม แอทเวอร์ไทซิ่ง 9. ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลวิภาวดี