ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น สั่ง กทม.รื้อถอนอาคารสูงซอยร่วมฤดีภายใน 60 วัน หลังยื้อนานร่วม 6 ปี เหตุขัดต่อ กม.ควบคุมอาคารที่กำหนดห้ามสร้างอาคารสูงบนถนนที่มีขนาดความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ระบุแม้การยื่นฟ้องคดีจะเกินระยะเวลา กม.กำหนด แต่ถือว่ามีผลต่อประโยชน์ส่วนรวม ศาลจึงมีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา ด้านทนายเผยเป็นบทเรียนสำคัญของ กทม.ในการพิจารณาอนุมัติในอนาคต
วันนี้ (2 ธ.ค.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น สั่งให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 รื้อถอนหรือแก้ไขอาคารโรงแรมดิเอทัส ซอยร่วมฤดี ที่มีการก่อสร้างสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากถนนซอยร่วมฤดีมีขนาดความไม่กว้างไม่ถึง 10 เมตร โดยต้องดำเนินการภายใน 60 วันหลังศาลมีคำตัดสิน
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ กับพวกรวม 24 คน ซึ่งเป็นผู้พักอาศัยอยู่ในซอยดังกล่าวได้ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรปล่อยให้บริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัท ทับทิมทร จำกัด ผู้ประกอบการโรงแรมดิเอทัส ดำเนินก่อสร้างอาคารสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 โดยศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2555 ให้มีการรื้อถอนอาคารฯแต่ต่อมาทางกรุงเทพมหานครได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพาษาในวันนี้รวมระยะเวลาต่อสู้ของชาวบ้านกว่า 6 ปี
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาดังกล่าวระบุว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าผู้ฟ้องยื่นคำฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาคือมายื่นต่อศาลในวันที่ 17 ก.ย. 2551 ทั้งที่ข้อเท็จจริงต้องยื่นภายอย่างช้าที่สุดในวันที่ 11 ธ.ค. 2550 ซึ่งถือเป็นระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามที่มาตรา 49 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 กำหนดก็ตาม แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจาก นพ.สงคราม มีหนังสือร้องเรียนหลายฉับไปยัง ผอ.เขตปทุมวัน ให้ดำเนินการกับอาคารที่พิพาท แต่ ผอ.เขตปทุมวันก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายให้อำนาจ ประกอบกับ นพ.สงครามฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522 ละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการกับอาคารพิพาทที่มีการก่อสร้างเป็นอาคารสูงขนาดใหญ่ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องตลอดแนว มีผลต่อความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย ตลอดจนความสะดวกแก่การจราจร ซึ่งผลจากการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จะทำให้ประชาชนส่วนรวมได้รับประโยชน์จากการดำเนินการหรือการกระทำนั้น คดีจึงเป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมที่แม้จะยื่นคำฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาแล้วศาลก็มีอำนาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้
ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บริษัท ลาภประทาน จำกัด ได้ยื่นแจ้งความประสงค์ต่อสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ก่อสร้างอาคารสูง 18 ชั้นจำนวนหนึ่งหลังเพื่อเป็นอาคารพาณิชย์-ที่อยู่อาศัย รวม 78 ห้อง พื้นที่ 29,502 ตารางเมตร ส่วนบริษัท ทับทิมทร จำกัด ได้ยื่นแจ้งความประสงค์ก่อสร้างอาคารสูง 24 ชั้น จำนวน 1 หลังเพื่อใช้เป็นโรงแรมขนาด 76 ห้อง พื้นที่ 28,987 ตารางเมตร แต่เมื่อเขตทางของถนนซอยร่วมฤดีมิได้มีเขตทางกว้าง 10.00 เมตร ตลอดแนว คือมีความกว้างน้อยกว่า 10.00 เมตร ถึง 8 จุด การก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารของสองบริษัทเจ้าของอาคารที่เป็นผู้ร้องสอดไม่ชอบด้วยข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ใช้อำนาจตาม มาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 42 และมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ดำเนินการกับทั้งสองบริษัทเจ้าของอาคารที่เป็นผู้ร้องสอด ซึ่งก่อสร้างอาคารขัดต่อข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงละเลยต่อหน้าที่ตามที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดให้ต้องปฏิบัติพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และหรือ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้อำนาจตามมาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 42 และมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ดำเนินการกับผู้ร้องสอดทั้งสองแล้วแต่กรณี ภายใน 60 วันนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
ทั้งนี้ นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า คดีนี้เป็นบทเรียนให้แก่กรุงเทพมหานครที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนจะอนุญาตให้มีการก่อสร้างอาคารใหญ่ในพื้นที่ซอยแคบ โดยขั้นตอนจากนี้ทาง กทม.และสำนักงานเขตปทุมวันจะต้องใช้อำนาจหน้าที่ตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่จะสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่มีการรื้อถนนตามคำสั่ง สำนักเขตมีอำนาจขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมหรือกักขังบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งได้ และดำเนินการให้จัดให้มีการรื้อถอนอาคารดังกล่าวได้เองโดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร คำนวณอาคาร ควบคุมอาคารจะต้องร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งหมด