รายงานการเมือง
กระแสนิรโทษกรรมดังกระหึ่มกลับมาหลอนโสตประสาทสังคมกันอีกแล้ว หลังอนุกรรมาธิการว่าด้วยการปรองดอง ชุดที่มี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นประธาน ออกมาตีปี๊บแนวทางการสร้างความปรองดอง อาจนิรโทษกรรมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2548 - 2557
มีทั้งเสียงหนุนเสียงค้าน เรื่อยไปจนถึงการตั้งคำถามถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในประเทศนี้ว่า สุดท้ายวิธีการแก้ไขปัญหาของคนในชาติตีบตันถึงขนาดไม่มีวิธีอื่นแล้วใช่หรือไม่
กี่ยุคกี่สมัยวนเวียนเป็นวัวพันหลักอยู่แค่นี้ เอะอะจะปลดล็อกปัญหากันด้วยการเขียนกฎหมายล้างโทษ ทั้งที่พิสูจน์มาแล้วว่าวิธีดังกล่าวไม่เคยสามารถดับไฟในประเทศได้เลยสักครั้งเดียว หนำซ้ำยังเป็นเหมือนการเขวี้ยงงูไม่พ้นคอตัวเอง ความจำสั้นเป็นปลาทองว่าที่ประชาชนออกมาตะเพิดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นน้ำผึ้งหยดเดียวมาจากสาเหตุอันใด
หากไม่ใช่การผลักดันออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย
ปรากฏการณ์ประชาชนนับล้านๆ คน ออกจากบ้านมาบนท้องถนนโดยไม่ได้นัดหมายเพื่อคัดค้านกฎหมายสุดซอยในยุคก่อนหน้านี้สะท้อนให้เห็นไปแล้วว่าสังคมไม่ได้ยินดีปรีดากับวิธีการสร้างความปรองดองดังกล่าว เพราะมันเป็นการสร้างความปรองดองจอมปลอมที่มีแต่ตัวนักการเมืองเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ กฎหมาย ตรายางล้วนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนกลับมารักกันได้
ขณะเดียวกัน การออกมาตีเกราะเคาะไม้เรื่องนิรโทษกรรมในช่วงเวลานี้ ยังยิ่งเป็นการสร้างความหวาดระแวงให้กับสังคมที่คาดหวังว่ารัฐบาลเผด็จการครึ่งใบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกู้วิกฤตและแก้ปัญหาในมิติใหม่ๆ ได้ อีกด้วย โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวเกี๊ยเซี๊ยะ หรือบิ๊กดีล เหม็นหึ่งกันออกมาสักระยะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น แทนที่จะได้สะสางปัญหา อาจจะยิ่งเป็นการสร้างปัญหาและเพิ่มภาระให้กับตัวเอง
ความจริงเรื่องนิรโทษกรรมหากกระทำเพื่อหวังผลให้กับประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่น่าจะมีใครทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองแน่ แต่ที่ผ่านมาสาเหตุที่ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่าทุกครั้งไป เพราะเวลานำเสนอมักขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่เหลาลงไปสักระยะมักจะมีการลักไก่สอดไส้อะไรบางอย่างมากกว่าที่นำเสนอ
มีวาระซ่อนเร้นจนเป็นวิกฤตการณ์การเมืองกันมาแล้วหลายยก
ตั้งแต่เมื่อครั้ง “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ขันอาสาเป็นหนังหน้าไฟให้กับนายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยื่นร่าง พ.ร.บ. ปรองดองเข้าสู่สภา โดยอ้างอิงรายงานผลการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า แต่สุดท้ายก็หมกเม็ดปรับเสริมถ้อยคำลงไปเพื่อให้พวกพ้องได้ประโยชน์ หาได้ใช่ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมอย่างเดียว ก่อนจะถูกคัดค้านจนตาลีตาเหลือกเก็บพับใส่ลิ้นชักกันแทบไม่ทัน
ต่อเนื่องมาถึงร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยของ นายวรชัย เหมะ แกนนำ นปช. ที่แอ่นอกอย่างดีว่าให้ประชาชนอย่างเดียว แกนนำไม่มีเอี่ยว สุดท้ายกลายเป็นขนมปังยัดไส้สอดรส “นายใหญ่” นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปกันโจ๋งครึ่มในสภา จนเป็นสาเหตุให้น้องสาวสุดที่รักกระอักเลือดจนกระเด็นตกเก้าอี้
หากคิดจะปัดฝุ่นโปรเจ็กต์นิรโทษกรรมอีกรอบ จึงเป็นเสมือนเชื้อไวไฟที่ลุกพรึ่บได้ง่ายหากคิดจะงุบงิบทำแบบที่นักการเมืองเคยทำ ยิ่งดูรายชื่ออนุกรรมาธิการชุดที่มีนายอเนกเป็นหัวเรือ ปรากฏโฉม พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นั่งอยู่ด้วย อาการอกสั่นขวัญแขวนแทบกำเริบ เพราะทราบกันถ้วนทั่วว่าเป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากสถาบันพระปกเกล้า เจ้าของรายงานการสร้างความปรองดอง
ซึ่งเป็นไปได้ไม่น้อยหากจะมีการเปิดลิ้นชักเอาตำราปรองดองฉบับที่เคยศึกษากันมาปัดฝุ่น เพราะแง้มดูรายชื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะหัวโต๊ะอย่าง นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือทีมงานที่หอบกันมา ไม่ว่าจะเป็นนางถวิลวดี บุรีกุล นายวุฒิสาร ตันไชย พล.อ.เอกชัย ล้วนเป็นสถาบันพระปกเกล้าคอนเนกชัน ที่นั่งทำรายงานปรองดองกันมา มีหรือจะไม่นำพรีเซนต์โปรเจกต์ของตัวเอง
ดังนั้น หากตั้งอกตั้งใจด้วยเจตนาบริสุทธิ์ว่าจะทำเพื่อประชาชนจริงๆ ต้องเขียนให้ชัดไปเลย อย่าคลุมเครือให้ต้องตีความ ใครบ้างที่จะได้รับอานิสงส์ผลบุญจากกฎหมายฉบับนี้ ไม่เช่นนั้นจะมีพวกศรีธนญชัยตีความเข้าข้างตัวเองว่าไม่ใช่แกนนำแบบคราวก่อน ขณะเดียวกัน โดยทฤษฎีกฎหมายมันเขียนยกเว้นใครเจาะจงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องละเมียดละไมพอสมควร อย่าให้มีช่องโหว่
แล้วต้องเขียนกันให้ตัวโตๆ เท่าฝาโอ่งว่า จะไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องหาคดีทุจริตโกงบ้านโกงเมือง ผู้ต้องหาคดีจาบจ้วงสถาบัน ผู้ต้องหาที่ทำร้ายและฆ่าประชาชน แกนนำที่ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการฆ่าแกงกันในหมู่ประชาชน เผาบ้านเผาเมือง เหล่านี้ไม่ควรได้รับผลบุญใดๆ จากกฎหมายฉบับนี้ทั้งสิ้น นอกจากนี้ คำว่าประชาชนที่ร่วมชุมนุม ต้องไม่รวมถึงพวกที่ถือปืนยิงระเบิด
ในส่วนของแกนนำต้องปล่อยให้สู้คดีกันเองตามกระบวนการยุติธรรม จะผิดจะถูก จะชั่วจะดี ให้ไปว่ากันในชั้นศาล อย่ามายกประโยชน์ให้จำเลย ถ้าคิดว่าล้างไพ่กันแล้วจะจบ น่าจะไม่ละเมอก็ฝัน เพราะมันเหมือนการปล่อยเสือเข้าป่า วันข้างหน้ามันก็ออกมาล่าเหยื่อเหมือนเดิม อย่างไรก็ไม่จบ
โดยเฉพาะในส่วนของแกนนำ นปช. และพรรคเพื่อไทย หากคิดว่าจะปล่อยผีก็ไม่ต่างอะไรจากการทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป ต่อให้ล้างแผลกันจนสะอาดยังไงก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ดี เพราะ “ตัวพ่อ” อย่าง นช.ทักษิณ ยังไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดแบบเท่ๆ อย่างไรก็ต้องต่อรองทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กลับมาก้มกราบสนามบินสุวรรณภูมิภาค 2
ทุกคนรู้กันทั่ว เป้าหมายของ นช.ทักษิณ คือ การได้กลับบ้าน ที่ผ่านมา พยายามใช้มวลชนเป็นตัวประกันในการออกกฎหมายล้างผิด หากวันหนึ่งตัวประกันเหล่านั้นไร้มลทิน แล้วจะเหลืออะไรให้มาต่อรอง ดังนั้น หากฝันว่าจะเลิกรากัน หันมาปรองดองจูบปากกันด้วยวิธีนี้ควรสะดุ้งตื่นได้แล้ว เพราะหากนิรโทษกรรมมันขลังจริงคงทำกันไปแต่ปีมะโว้
ขณะที่ “บิ๊กตู่” เองก็อย่าอมพะนำ ถ้าในใจคิดจะทำออกมายืนยันกันให้ชัดๆ อย่าเอาแต่บอกปัดว่าเป็นความรับผิดชอบของแม่น้ำสายนั้นสายนี้ เพราะคนที่มีอำนาจตัดสินใจคือตัวเอง มัวมะงุมมะงาหราระวังถูกตีความผิดๆ
เอา - ไม่เอาฟันเปรี้ยงกันมาเลย!!!