ผ่าประเด็นร้อน
การให้สัมภาษณ์แบบพิเศษกับ “บางกอกโพสต์” เมื่อวันก่อนของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศว่าเธอจะกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2559 หากไม่ติดขัดอะไร ย่อมเรียกความน่าสนใจจากหลายฝ่ายไม่น้อย ขณะเดียวกัน การประกาศท่าทีดังกล่าวย่อมต้องมีเบื้องหลังที่ชวนติดตาม เพราะย่อมผ่านการวางแผนโดย “กุนซือ” และที่สำคัญต้องผ่านการเห็นชอบจากคนที่อยู่เบื้องหลังตัวจริง คือ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่ชายของเธออย่างแน่นอน
เพราะหากประเมินจากลักษณะการพูดจา ระบบคิดในช่วงที่ผ่านมาไม่อยากจะปรามาสว่านี่คงไม่ใช่ความคิดของเธอ แต่เอาเป็นว่านี่คือ “หมาก” ที่ผ่านการวางแผนมาอย่างดี และมีการเตรียมเนื้อหาการพูดเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อหวังผลทางการเมืองหลายชั้น
นั่นคือ หนึ่งคือการ “ต่อรอง” และสองคือ การส่งสัญญาณไปถึงมวลชน ข้าราชการผู้สนับสนุนครอบครัวชินวัตร ว่า พวกเขายังอยู่ และ “พร้อมจะกลับมาอีกรอบ” เมื่อได้จังหวะ นั่นคือหลังการเลือกตั้งปี 2559 ตามที่ผู้นำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศเน้นย้ำจากโรดแมปการปฏิรูปประเทศ
หากพิจารณาจากจังหวะเวลาก็ต้องบอกว่านี่คือการประกาศท่าทีที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม และหากนับจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาครบ 6 เดือนแล้ว นับตามจังหวะเวลาก็ต้องบอกว่าสมควร “ขยับ” อะไรบางอย่างออกมาบ้างแล้ว
เพราะถ้าพิจารณาจากสภาพของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มที่จะถูกกดดันย้อนกลับจากสังคมรอบข้างมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธรรมชาติที่ต้องถูกตรวจสอบ ต้องมีการสรุปผลงานที่ทำมาว่าเป็นไปตามที่สัญญาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับความจริงว่าเรื่องสำคัญบางอย่างยังไม่เข้าเป้า โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ราคาสินค้าเกษตรที่ยังไม่กระเตื้อง การจัดการกับปัญหาทุจริตที่แม้ประกาศปราบปรามอย่างจริงจัง แต่คำถามที่ว่าได้จัดการกับเรื่องทุจริตที่สร้างความเสียหายกับบ้านเมือง เช่น การทุจริตโครงการรับจำนำข้าวทำไมผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จกลับมีท่าทีเฉยชาผิดจนผิดสังเกต
การออกมาของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเวลานี้บังเอิญตรงกลับช่วงที่เธอกำลังถูกสภานิติบัญญัติ (สนช.) กำลังจะพิจารณาถอดถอนออกจากตำแหน่ง จากคดีโครงการรับจำนำข้าว แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วบั้นปลายคงจะทำอะไรเธอไม่ได้ จากการคาดหมายว่ามีเสียงของสภาไม่ถึง 3 ใน 5 ก็ตาม แต่มันก็ทำให้เสียหาย อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องกังวลไปกว่านั้นน่าจะเป็น “คดีอาญา” ในคดีเดียวกันที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศยืนยันว่าจะส่งฟ้องเอง หากอัยการสูงสุดไม่เห็นชอบด้วย ซึ่งในกรณีหลังย่อมมีผลต่ออนาคตทางการเมืองของเธอและครอบครัวเข้าอย่างจัง
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขอื่นที่ต่อเนื่องกันจากกติการัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ต้องมาตามกรอบของรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2557 ที่กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม เช่น เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เคยต้องคดีทุจริต และที่สำคัญก็คือ เคยถูกคำพิพากษา หรือคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้อาจหมายรวมถึงการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ก็ได้ บุคคลที่โดนเรื่องดังกล่าวจะต้องถูกห้ามลงสนามการเมืองตลอดชีวิต ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวดังกล่าวเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่กำหนดเอาไว้ในมาตรา 35 และมาตราเกี่ยวข้องในวงเล็บสี่ เสียก่อน
ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง หากมีการพิจารณาจากท่าทีล่าสุดที่อาจมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้มีการลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันหน้า โดยอาจจะพ่วงเอาเรื่องกรอบข่อห้ามที่ว่าออกไปด้วย
เพราะหากยังเดินหน้าต่อไป มันก็อาจสร้างแรงกระเพื่อมจากบรรดานักการเมืองเขี้ยวลากดินอีกหลายร้อยคน ที่นอกจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วยังมี ทักษิณ ชินวัตร พวกบ้านเลขที่ 111 และบ้านเลขที่ 109 ก็จะโดนด้วย คิดว่าคนพวกนี้จะยอมหรือ หากยังเดินหน้าก็ต้องใช้ความเด็ดขาดกล้าหาญอย่างมาก ซึ่งพิจารณาจากแนวโน้มแล้วไม่น่าเป็นไปได้ หลังจากเริ่มได้ยินคำพูดเรื่อง “การปรองดอง” เข้าหูบ่อยครั้ง
ดังนั้น การออกมาของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคราวนี้ แน่นอนว่าต้องผ่านการวางแผนจาก “กุนซือ” อย่างดี กำชับให้พูด อย่างน้อยก็เป็นช่วงเวลาสำคัญ เป็นจังหวะการต่อรองเพื่ออนาคตในวันหน้า นั่นคืออย่าต้อนให้เข้ามุมอับ ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งสัญญาณไปถึงบรรดามวลชนสาวกต่างๆ ทั่วประเทศ รวมไปถึงข้าราชการ “มะเขือเทศ - แตงโม” ทั้งหลาย ให้รอหน่อย ให้รู้ว่าพวกเธอยังอยู่ยังพร้อมที่จะกลับมาหลังการเลือกตั้งปี 59 ให้อดทนรออีกนิด ส่วนระหว่างนี้จะ “เกียร์ว่าง” ไปก่อนหรือไม่ก็แล้วแต่ดุลพินิจ และนี่คือสัญญาณกระทบชิ่งไปถึงคนใน คสช. ด้วยว่าจะเลือกแบบไหนจะปรองดองแบ่งปันหรือเปล่า
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้น่าติดตาม แต่รับรองว่านี่คือการวางแผนมาอย่างดี โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “เหมือนขับรถมาแล้วถูกจี้ชิงรถ” กลางทาง มันช่างเห็นภาพ อีกทั้งการเลือกส่งสัญญาณผ่านสื่อภาษาอังกฤษ มันก็ย่อมอธิบายถึงเหตุผลในตัวเองอยู่แล้วว่าต้องการให้สะเทือนไปไกลแค่ไหน !!