ผ่าประเด็นร้อน
เพิ่งได้ข้อสรุปชัดเจนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เองว่า เจตนาที่แท้จริงสำหรับ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เข้ามารัฐประหารควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น เพื่อสร้างความปรองดองในชาติ และปฏิรูปบ้านเมืองตามแนวทางที่กำหนดเอาไว้เท่านั้น
เพราะคำยืนยันที่ออกมาจากปากทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้า คสช. ที่พูดประสานเสียงตรงกันว่า พวกเขากำลังเดินหน้าเพื่อสร้างความปรองดอง ยุติความแตกแยกในบ้านเมือง ดังนั้น ไม่ว่าสื่อหรือว่าหน่วยงานไหนก็ตามทำให้เกิดความสับสน เกิดความไขว้เขว ก็ต้องตักเตือน ห้ามออกนอกแนวทางดังกล่าว เพราะยอมไม่ได้
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สำทับออกมาอีกว่า ถ้ายังผิดไปจากแนวทางดังกล่าว ทหารก็จะเข้าไปทำความใจ หรือในความหมายว่า “เข้าไปเคลียร์” ทุกแห่ง นั่นแหละ
หากพิจารณาดูเผินๆ มันก็ไม่มีอะไรผิด ตรงกันข้ามน่าจะถูกต้องเสียด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายก็เพื่อทำให้บ้านเมืองลดความขัดแย้งให้เดินหน้าไปได้ด้วยดี
อย่างไรก็ดี สิ่งที่พวกเขาไม่พยายามพูดถึง ก็คือ การเข้ามาจัดการกับคนที่ทุจริตสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองในอดีต ซึ่งก็ย่อมหมายรวมถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองจากโครงการรับจำนำข้าวฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ซึ่งล่าสุดอนุกรรมการตรวจสอบบัญชีโครงการดังกล่าวของกระทรวงการคลังเพิ่งสรุปตัวเลขออกมาแล้วว่า เฉพาะรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ทำให้เกิดการขาดทุน เกือบ 6 แสนล้านบาท และคดีนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้อง แต่ในที่สุดก็มีการยื้ออ้างว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์ต้องสอบเพิ่ม และยังไม่รู้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อไหร่กันแน่
ขณะเดียวกัน ป.ป.ช. ได้ส่งเรื่องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาถอดถอนจากตำแหน่งทางการเมือง รวมไปถึงคดีอื่นๆ เช่น กรณีของอดีตประธานสภาผู้แทนฯ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และอดีตประธานวุฒิสภา นิคม ไวยรัชพานิช ทำผิดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. มิชอบ รวมไปถึงกำลังชี้มูลความผิด 38 ส.ว. ที่ทำผิดในเรื่องเดียวกัน และกำลังจะส่งเรื่องมาให้พิจารณาถอดถอน แต่กลายเป็นว่ามีสมาชิกนิติบัญญัติสายกองทัพที่ถือว่าเป็นสายตรงของคณะผู้นำคสช.กลับเตะถ่วงบ่ายเบี่ยงที่จะพิจารณาในเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่ทำให้เข้าใจได้ว่าจะเป็นการทำลายบรรยากาศการปรองดอง เกรงจะเกิดความวุ่นวายตามมา
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา รวมไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยเฉพาะผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นต้นตอของคนพวกนี้ ว่ามีท่าทีวางเฉยกับเรื่องทุจริตที่สร้างความเสียหายกับบ้านเมือง เพราะการอ้างเพียงว่าต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ในความหมายอีกแง่มุมหนึ่งถูกมองว่า เป็นการ “เตะถ่วง” หรือพยายามบิดเบือนไม่ยอมพูดให้ตรงประเด็นตามความต้องการของชาวบ้านที่ต้องการให้กวาดล้างสิ่งที่มิชอบสร้างความเสียหายกับบ้านเมืองให้หมดสิ้นไป โดยคาดหวังด้วยอำนาจที่เบ็ดเสร็จจะเข้ามาสะสางได้อย่างไม่ติดขัด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดตลอดเวลากว่า 6 เดือนของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ และเข้าสู่เดือนที่สามของรัฐบาล กลับไม่มีความพยายามติดตามจับกุม ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีคำพิพากษาจำคุกของศาลและหลบหนีหมายจับเป็นหางว่าว ไม่ทำแม้กระทั่งคิดถอดยศคนทำผิด ไม่ริบหนังสือเดินทาง ไม่เคยแม้สักครั้งเดียวที่ได้ยินออกมาจากปากของคณะผู้นำ คสช.ที่ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจเข้ามาใช้อำนาจเบ็ดเสร็จปกครองบ้านเมือง
มิหนำซ้ำนอกจากไม่ดำเนินการแล้ว ยังสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงบุคคลพวกนี้โดยตรงเสียอีก อ้างว่าเป็นการฟื้นฝอย เสียบรรยากาศปรองดอง อ้างสถานการณ์ไม่ปกติปิดกั้นการแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย และย้ำว่านี่คือการเดินอยู่บนเส้นทางการปฏิรูปตามโรดแมป ที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ดังนั้น หากพิจารณาจากคำพูดและท่าทีดังกล่าวข้างต้นของ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ย้ำในเรื่องการปรองดองและการปฏิรูปตามแนวทางที่กำหนด ก็ไม่ผิด เพราะเป็นการทำตามเจตนารมณ์ของพวกเขาดังที่ปรากฏอยู่ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ที่ระบุว่าเป็นเพราะบ้านเมืองเกิดความแตกแยก ขัดแย้งเสี่ยงจะเกิดสงครามกลางเมือง ทำให้ คสช.ต้องเข้ามายุติปัญหาดังกล่าว เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ ไม่มีตรงไหนที่พูดถึงความล้มเหลว เกิดการทุจริตจนต้องเข้ามาจัดการ มีแต่ความคาดหวัง และคิดไปเองของมวลชนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
เมื่อกลับสู่ความเป็นจริงก็ต้องเข้าใจให้ได้ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา มีเจตนาเข้ามาเพื่อสร้างความปรองดอง และปฏิรูปตามแนวทางของพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่มีเจตนามาสะสางการทุจริตสร้างปัญหาของบ้านเมืองจากรัฐบาลชุดที่แล้ว และนี่คือความจริงที่ใครก็ตามที่คาดหวังไปอีกแบบสมควรตื่นขึ้นมายอมรับได้แล้ว !!