เปิดหัวพื้นที่สีแดงกันไปแล้ว สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังพาคณะเสนาบดีชุดลายพราง ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “บิ๊กนมชง”พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ และ “บิ๊กอ้อ” พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาบุกถ้ำเสือ ฐานเสียงใหญ่ของ “ระบอบทักษิณ”
ตามคิวที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า “บิ๊กตู่” เลือกปักหมุดดินแดนหัวเมืองอีสานแห่งนี้ เพราะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญตัวหนึ่งในการทำรัฐประหาร หลังพบว่า มีขบวนการจ้องก่อเหตุป่วนเมืองในช่วงการชุมนุมทางการเมืองของ กปปส. ในลักษณะ “ขอนแก่นโมเดล”
เป็นพื้นที่ร้อน ยุทธศาสตร์สำคัญของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เลยเลือกชิมลางเป็นจังหวัดแรกๆ ตรวจเช็กอุณหภูมิหลังจากจับกุมกองกำลังได้ครั้งนั้น ขณะเดียวกัน ยังจะย้อนศรเป็นจังหวัดนำร่อง “ขอนแก่นโมเดล” เป็นจังหวัดแรกในอีสาน ก่อนทัวร์ครั้งต่อๆ ไป
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวอีกว่า รัฐบาลต้องการซาวเสียงตัวเอง เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันไม่กระเตื้อง ซ้ำร้ายยังอยู่ในช่วงขาลง บรรดาแนวต้านเริ่มขยับปีก ขณะที่แนวร่วมคนกันเองเริ่มถอนหายใจ เช่นเดียวกับผลงานที่ไม่มีอะไรประจักษ์ ตามสภาวะที่คนชักจะเบื่อหน่าย ซึ่งสัญญาณประเภทนี้ไม่ส่งผลดีกับทุกรัฐบาล เลยขอมาหยั่งกระแสกันให้เห็นกับตา
ภาพรวมการเยือนดินแดนหมอแคนครั้งนี้กลับไม่หวือหวา เพราะไม่ได้พักค้างแรม มาแค่เช้าเย็นกลับ ในลักษณะแตะๆ เฉี่ยวๆ เพื่อเช็กกระแสพื้นที่สีแดงเท่านั้น เหมือนลองของกันดู
จะตื่นเต้นหน่อยก็ตอนที่โดนนักศึกษากลุ่ม “ดาวดิน” ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเคยถูกเรียกไปปรับทัศนคติมาแล้ว แฝงตัวมาลูบคมชู 3 นิ้วต่อหน้าต่อตา งานนี้ “บิ๊กตู่” ถึงกับอึ้งกิมกี่ไปครู่ใหญ่ ไม่คาดฝันว่าจะมีใครบุกมาประชิดตัวได้ถึงขนาดนี้ ร้อนถึงทีมงานต้องอารักขากันอุตลุด
แต่กระนั้น ก็ยังมีไหวพริบในฐานะที่เจ็บมาเยอะจนช่ำชอง แอกชั่นเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโชว์มาดพระเอกไม่เอาเรื่องเอาราว ในฐานะคนไทยด้วยกัน แถมยังหยอดหวานหยอดเปรี้ยวขอคะแนนประชาชนกันใหญ่
จะว่าไป “บิ๊กตู่” ที่ขอนแก่นกับ “บิ๊กตู่” ที่กรุงเทพมหานครราวกับคนละคน
เพราะมาถิ่นอีสานไม่มีลูกดุ เดือด เลือดพล่าน โหวกเหวกโวยวาย เส้นความอดทนต่ำ ตรงข้ามกันกลับยาหอมพี่น้องประชาชนจนเคลิ้ม ดูๆ ไปคล้ายกับนักการเมืองเวลาขึ้นเวทีปราศรัยขอคะแนนชาวบ้านชาวช่องเหมือนกัน
ลีลา คำพูดคำจาไม่เบา มีโชว์ใจปล้ำใจถึง พี่น้องร้องขออะไร “บิ๊กตู่” ทุบโต๊ะเปรี้ยงให้เดี๋ยวนั้น เร็วยิ่งกว่ารถไฟความเร็วสูงเสียอีก แถมยังส่งสัญญาณหลายครั้งหลายคราย้ำวันสามเวลา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
แต่ดูตามอาการชาวบ้านไม่ค่อยตื้นเต้นเท่าไรถ้าเทียบกับสมัย “นารีปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกทัวร์นกขมิ้น ที่ประชาชนแห่แหนกันมาพรึ่บพรั่บ เรื่องของเรื่องส่วนหนึ่งก็เพราะที่นี่ไม่ใช่ฐานเสียงและยังเป็นถิ่นคู่ต่อสู้ทางการเมืองขณะที่การลงพื้นที่อื่นๆ ในห้วงวันเดียว หลังจากโดนป่วนในคิวแรก ทีมงานชุดรักษาความปลอดภัยก็ขันน็อตกันใหม่แบบตึงเปี้ยะ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ห้อมล้อมผู้นำแบบไข่ในหิน
กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแบบวันเดียวสองเด้ง
บรรยากาศทั่วๆ ไป ในตัวเมืองขอนแก่น ไม่ค่อยตื่นเต้นกับการมาของผู้นำรัฐประหาร ส่วนหนึ่งเพราะการประชาสัมพันธ์ที่ “บิ๊กตู่” ขึงขังห้ามเอามาตั้งเอิกเกริก แต่ที่สำคัญคือ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพ่อยกแม่ยก “นารีปู” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกเขี่ยพ้นเก้าอี้ เพราะ “บิ๊กตู่” ฉะนั้น นอกจากเฉยๆแล้ว ยังออกอาการเหม็นขี้หน้าเสียด้วยซ้ำ
ผนวกกับห้วงเวลานี้รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศเพื่อเป็นยันต์กันผี การจะเคลื่อนไหวอะไรก็ลำบาก ดังนั้น การที่ม็อบจะเคลื่อนตัวมาแหกปากตะโกนด่าหรือขับไล่ในวเลานี้จึงยากยิ่ง การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงดูไม่ได้น่าสนใจอะไรเท่าไรนัก
กลับกันหากเป็นสถานการณ์ปกติ ไม่มียักษ์ถือกระบองอย่างกฎอัยการศึกอยู่ บางที “บิ๊กตู่” อาจจะเจอสภาวะลำบากอย่างที่ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีโดนชาวเหนือชาวอีสานตีวงล้อมจนขยับไปไหนมาไหนยากเย็น เสี่ยงอันตรายทุกที่ก็เป็นได้
ซึ่งวัดกันตามกำหนดการที่ “บิ๊กตู่” ลง ผนวกกับการพูดคุยกับประชาชนทุกพื้นที่ที่มาต้อนรับเป็นระยะเวลาเกิน 10 นาที เหตุผลน่าจะต้องการมาเช็กสถานการณ์ภายหลังตั้งแต่ทำรัฐประหารมามากกว่า
ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ในลักษณะผิวเผินครั้งนี้ ยังไม่สามารถวัดอะไรได้มากมายว่า ปัจจุบันประชาชนฝ่ายตรงข้ามเปิดใจให้ “บิ๊กตู่” บ้างแล้วหรือไม่ กระแสหันเหไปทางใด เพราะปัจจุบันยังเป็นในลักษณะหินทับหญ้าอยู่ หากยกออกก็พร้อมจะงอกเงยขึ้นมาใหม่ ซึ่งตราบใดที่ยังคงกฎอัยการศึกอยู่ยากเหลือเกิน
ดังนั้น หากต้องการวัดกระแสและอุณหภูมิจริงๆ “บิ๊กตู่” ต้องลงมาค้างคืนดูแบบไม่มีกฎอัยการศึกคุ้มครอง เพราะนั่นจะเป็นตัวสะท้อนได้ดีว่า ขณะนี้ลูกตุ้มนาฬิกาเหวี่ยงไปข้างไหนระหว่าง “รัฐบาลทหาร” กับ “ระบอบทักษิณ”
แต่หากจะลงแบบผิวเผินเหมือนเดิม ก็ควรจะเลือกชัยภูมิที่เข้มข้นกว่านี้ วัดความขลังของกฎอัยการศึกได้เป็นอย่างดีไปเลย ไม่ว่าจะเป็น “เชียงใหม่” บ้านเกิด “นายใหญ่” หรือจะเป็น “อุดรธานี” ที่เปรียบกันว่าเป็น “เมืองหลวงเสื้อแดง” ที่มี “ขวัญชัย ไพรพนา” โจกแดงที่เก็บงำความแค้นหลังถูกยิงถล่มเป็นเจ้าถิ่นให้การต้อนรับ
ถ้าแบบนี้พอได้เนื้อได้หนังหน่อย!!
อย่างไรก็ตาม แต่หากรัฐบาลจะหยิบฉวยจากการปั่นป่วนของกลุ่มแนวต้านในการลงพื้นที่ต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ให้ตัวเองก็พอมี โดยเฉพาะในช่วงกระแสการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกดังถี่ขึ้น อย่างน้อยสามารถหยิบเหตุผลการเคลื่อนไหวหรือคลื่นใต้น้ำเหล่านี้เอาไปต่ออายุในการลาวยาวกฎอัยการศึกให้ตัวเองได้