xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ เสียใจ ฮ.ทหารตก โวจีนสนจีทูจีรถไฟหนองคาย-มาบตาพุด วอนอย่าต้านภาษีมรดก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ภาพจากแฟ้ม)
“ประยุทธ์” เผยจีนสนใจทำรถไฟทางคู่จากหนองคายถึงมาบตาพุดแบบจีทูจี โวเป็นของขวัญปีใหม่คนไทย วอนอย่าต้านภาษีมรดก ทำเพื่อความเป็นธรรม เผยนักธุรกิจเยอรมันถามเรื่องอนาคตการพัฒนาประเทศ เปรยอยากให้ลงทุนมากขึ้น ปัดขึ้นเงินเดือนข้าราชการผู้น้อยทำประชานิยม เสียใจนายทหารเสียชีวิตเหตุเครื่องบินตก ยันเป็นอุบัติเหตุ เดินหน้าคุยดับไฟใต้

วันนี้ (18 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมนำเสนอหลักการความร่วมมือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจีนสนใจจะทำเส้นทาง 1435 จาก จ.หนองคาย ถึง มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ทั้งนี้ เรื่องการสร้างทางรถไฟนั้นก็เพื่อเตรียมการไปสู่อนาคตโดยได้เตรียมไว้หลายเส้น นอกจากนี้ จีนจะซื้อสินค้าเกษตรของไทยจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทยเนื่องจากการครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 40 ปี

พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีมรดก พ.ศ. ... ที่ ครม. อนุมัติหลักการด้วยว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างภาษีที่เกี่ยวกับมรดก และภาษีที่เกี่ยวกับการยกให้ โดยหลักการมีหลายขั้นตอน เช่น หากสามีโอนให้กับภรรยาก็ไม่ต้องเสียภาษี และกำหนดวงเงินทุนทรัพย์ไว้ที่ 50 ล้านบาท เรื่องนี้รัฐบาลหารือกันเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่อยากให้กังวลว่าทำเพื่ออะไร หรืออย่างไร แต่ต้องการให้เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ของการดูแลซึ่งกันและกัน คนที่มีรายได้มากต้องเห็นใจคนที่มีรายได้น้อยกว่า เรื่องของจำนวนเงินนั้นคงได้มาไม่มาก สำหรับสัดส่วนจำนวนเงินที่หักภาษีจะมากหรือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นนั้นจะต้องคิดคำนวณกันอีกทีหนึ่ง

“อยากให้มองเป็นเรื่องสัญลักษณ์ อย่าต่อต้านกันนักเลย รัฐบาลพยายามดูรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม นอกจากนี้ยังได้คุยกันถึงว่าคนมีไร่นา แต่ไม่มีเงินเสียภาษีจะทำอย่างไร จะต้องขายนาเอาเงินไปเสียภาษีหรือไม่ เราเป็นห่วงเรื่องอย่างนี้หมด แต่ผมคิดว่ามีข้อยกเว้นเยอะแยะ ขอให้ใจเย็นๆ คาดว่าเรื่องภาษีมรดกจะใช้เวลาอีก 6 เดือน จึงจะมีผลบังคับ อย่าไปกังวล ขอย้ำว่าทุกเรื่องที่รัฐบาลคิดมาเป็นห่วงคนมีรายได้น้อยทั้งนั้น แต่คนอื่นก็ต้องมีความพึงพอใจด้วย เราต้องให้ความเป็นธรรม” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงการต้อนรับคณะนักธุรกิจชาวเยอรมันที่เข้าเยี่ยมคารวะว่า คณะดังกล่าวจะมาสอบถามเรื่องการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต เพื่อที่จะได้มาร่วมการค้าการลงทุนกับเรา และนักธุรกิจเหล่านี้ให้ความสนใจประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะเห็นบ้านเมืองสงบ จึงอยากให้ตนยืนยันว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป จะไปสู่โรดแมปอย่างไร หรือเราต้องการที่จะให้ประเทศลงทุนอะไรบ้างที่จะเน้นเป็นพิเศษ อะไรคือกฎระเบียบการค้าการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง เรื่องสิทธิประโยชน์ การสร้างความเชื่อมั่น ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งตนจะยืนยันว่าเรารักษาผลประโยชน์ของเขาเสมอ อยากให้มาลงทุนในบ้านเรามากขึ้น

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ คาดการณ์เศรษฐกิจในปี 57 จะขยายตัวที่ระดับ 1 เปอร์เซ็นต์นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องดูและศึกษาภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ ด้วย เช่น สหภาพยุโรปคาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 1.1 เปอร์เซ็นต์ ไม่ควรดูเฉพาะประเทศที่รวยโลดโผน ตัวเลขนั้นตนมีอยู่แล้ว ถามว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่จะโต 1 เปอร์เซ็นต์ บวกด้วยอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายครัวเรือน การลงทุน การค้าต่างประเทศ การส่งออก ตัวเลขยึดโยงกันทั้งหมด ซึ่งตัวเลขในนี้มีส่วนที่ดีขึ้นจากเดิมที่ติดลบ และส่วนด้อยก็มีโดยเราต้องไปดูว่าเกี่ยวข้องกับอะไร โดยเฉพาะด้านการส่งออก อาจเป็นเพราะต่างชาติชะลอตัว เราต้องมองภาพแบบนี้อย่ามองเป็นจุดๆ ไม่ใช่ตัวเลขออกมาก็ตื่นตระหนกตกใจไปหมด

“เราทำทุกวันแต่เราไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนได้ภายในวันเดียว เพราะตกหล่นมาไม่รู้กี่เดือนแล้ว ตั้งแต่ต้นปีเจ๊งมา 3-4 ไตรมาสแล้ว และทุกอย่างก็ดีขึ้น แต่ที่แย่ลงก็คือตัวเลขการส่งออก ขณะที่ปัญหาการส่งออกก็มีกันทุกประเทศ ต้องมองแบบนี้ ไม่งั้นจะพูดกันไม่รู้เรื่อง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการเห็นชอบปรับเพิ่มค่าครองชีพข้าราชการชั้นผู้น้อย ตามข้อเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ว่า ไม่ใช่เป็นการขึ้นเงินเดือน เป็นการเพิ่มเงินค่าครองชีพให้กับผู้ที่มีรายได้ไม่ถึง 10,000 บาท ให้เพิ่มอีก 1,000 บาท ขณะที่ข้าราชการที่มีรายได้เกิน 10,000 บาทต่อเดือน เมื่อรับเงินเพิ่มค่าครองชีพเพิ่ม แต่รวมแล้วไม่เกิน 13,285 บาท โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา

“เป็นการใช้เม็ดเงินที่มีอยู่แล้ว ถือว่ารัฐบาลต้องดูแลข้าราชการผู้น้อย เพราะเราดูแลทั้งชาวนา เกษตรกร ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องประชานิยม เพราะไม่ได้มีการขึ้นเงินเดือนมานานแล้ว และก็ขึ้นไม่ได้ด้วย จึงเป็นการเพิ่มค่าครองชีพ ที่บางคนได้ 500-1,000 บาท” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์กองทัพบก รุ่นเบล 212 ตกที่ จ.พะเยา เป็นเหตุให้มีกำลังพลทหาร 9 นายเสียชีวิตว่า ได้สั่งการให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผู้บัญชาการทหารบก ไปดูแลแล้ว เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียลักษณะนี้ขึ้นอีก ประเด็นที่ว่าเป็นเครื่องบินเก่า ทุกประเทศก็ใช้เครื่องบินรุ่นนี้อยู่ มีการใช้เครื่องบินที่เก่ากว่านี้อีก เป็นรุ่น HUS-1 ของ ทภ.1 อายุใช้มากว่า 30 - 40 ปี ก็ยังบินอยู่ มีการซ่อมแซม เปลี่ยนเครื่องยนต์อยู่แล้ว

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น นักบินก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ช่างเครื่องก็ตรวจเครื่องยนต์แล้ว เรื่องนี้จะมีการตรวจสอบอีกครั้งว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร สำหรับการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ใหม่ก็อยู่ในแผน แต่งบประมาณมีจำกัด เมื่อจะซื้อก็ไม่ได้งบฯ เมื่อไม่ได้งบฯก็ต้องใช้ของเก่าไปเรื่อยๆ อันดับแรกต้องซื้อในส่วนของ ทภ.1 ก่อน เพราะขนาด ฮ.รุ่นเบล 212 ดีกว่ายังตกเลย โอกาสตกมีได้ทั้งนั้น เพราะเท้าบนพื้น ส่วนการช่วยเหลือมีหลักการอยู่แล้ว ทั้งเงินบำเหน็จ บำนาญ ถ้าลูกกำลังศึกษาอยู่ก็จะดูแล ตนเสียใจนะ เพราะทั้ง 9 คน เป็นทรัพยากรที่มีค่าของกองทัพบก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวเขา ผมเสียใจจริงๆ” นายกฯกล่าว

สำหรับการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 12 คน ที่มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นประธานคณะที่ปรึกษานั้น พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่า เข้ามาแก้ปัญหาให้ประชาชนมีรายได้พอมีพอกิน แก้เรื่องเศรษฐกิจ เยอะแยะไปหมด วันๆ ใช้สมองมาก คิดไปหมด เอกสารก็อ่านมาก เราต้องดูโลกภายนอกด้วย ไม่ใช่คิดเองในประเทศ โดยไม่คำนึงถึงประเทศเพื่อนบ้าน ไม่คิดถึงอาเซียน ไม่คิดถึงแปซิฟิก ไม่คิดถึงยุโรป วันนี้ต้องคิดถึง ที่ผ่านมาไม่ได้คิดกันแบบนี้ พอคิดแบบนี้มา ปัญหาเก่าก็ตามมา เพราะฉะนั้นต้องช่วยเสริมกันบ้างในบางเรื่องที่จะก้าวหน้า

นายกฯ ยังได้กล่าวว่า ปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนใต้ เร็ววันนี้จะมีการพูดคุย ตนจะเดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซีย ไม่มีปัญหาอะไรทุกอย่างต้องเดินไป เมื่อถามว่า ได้ลงนามตั้งชุดเจรจาสันติสุขหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เบื้องต้นต้องไปคุยกับทางการมาเลเซียก่อนว่าเห็นชอบร่วมกันอย่างไร เขาจะตั้งใจใคร เราจะตั้งใคร ถ้าตั้งไปแล้วเขาไม่เห็นด้วยก็กลับมาทบทวน ทุกอย่างไม่มี 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว มันต้องเป็นการพูดคุย มาเลเซียเป็นแค่ผู้อำนวยความสะดวกให้ 2 ฝ่ายมาเจอกันเท่านั้น ไม่ใช่คนกลาง

นายกฯ ยังกล่าวถึงการเรียกประชุมร่วมระหว่าง คสช. คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่อาคารรับรองเกษะโกมล วันที่ 18 พ.ย. ว่า จะบอกว่ามีโรดแมปอย่างไร เพราะทุกคนตั้งใจปฏิรูปประเทศ ซึ่งเราจะบอกเขาว่าอยากให้ทำอะไรก่อนอะไรหลัง จะได้ทันกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปฏิรูปในทุกๆ เรื่อง ซึ่งตนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม เดี๋ยวจะหาว่าตนไปสั่งการอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มี ตนขอยืนยันไม่มีการสั่งการอะไรทั้งสิ้น เรื่องไหนที่จะทำให้ท้อแท้หมดกำลังใจ ก็หยุดกันบ้าง เรื่องกฎหมายก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ใครรับผิดชอบก็ว่ากันไป เอามาพันกันหมด มันก็ทำอะไรไม่ได้

ก่อนหน้านี้ นางนงนุช เพ็ชรรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และ นายรอล์ฟ ชูลเซอ เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับประธานหอการค้าเยอรมัน - ไทย นำคณะนักธุรกิจเยอรมัน จากบริษัทชั้นนำกว่า 29 บริษัท เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตึกสันติไมตรี โดยนายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ในกลุ่มสหภาพยุโรป ภาคเอกชนเยอรมันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 แสดงให้เห็นความเชื่อมั่น ขณะเดียวกัน นายกฯ ยืนยันไทยต้องการที่จะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่ง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินตามหลักประชาธิปไตย เน้น 3 ภารกิจ รักษาความสงบเรียบร้อย ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และทำงานเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ด้านเศรษฐกิจ ปรับปรุงระเบียบ ข้อตกลงให้มีความเป็นสากล ลดขั้นตอนการประสานงานการลงทุน ตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกแบบวันสตอปเซอร์วิส ลดอุปสรรค ที่สำคัญต้องไม่มีคอร์รัปชัน เน้นความโปร่งใส

ขณะที่นักธุรกิจเยอรมัน อาทิ บริษัท BMW สนใจตั้งโรงงานเพิ่ม บริษัท Evonik ประสงค์ลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์ พลังลมและการบำบัดน้ำเสีย บริษัท STABAG สนใจร่วมโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัท SAP สนใจลงทุนด้าน Digital Economy และ E-Government ประสงค์ขยายธุรกิจเพิ่มเติม


กำลังโหลดความคิดเห็น