“ประวิตร” ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ร่วมจัดระเบียบสังคม เตือนอย่าเข้าไปเอี่ยวสิ่งผิดกฎหมาย ขณะที่ ครม.อนุมัติแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 มีเป้าหมายให้สังคมส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ครม.แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ในช่วงท้ายการประชุม ครม. ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบสังคม ทั้งการดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ที่มีอิทธิพล กระทำผิดกฎหมาย การพนัน ยาเสพติด การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง การค้ามนุษย์ การค้าประเวณี พร้อมทั้งขอบคุณทุกหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงฝากทุกกระทรวง ทบวง กรมให้กำชับข้าราชการในสังกัด อย่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม และรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันแจ้งเบาแสไปยังศูนย์ดำรงธรรมในแต่ละจังหวัด และ 1111 ของรัฐบาล
พล.อ.ประวิตรยังฝากหน่วยงานต่างๆ ในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยทั้งเจ้าหน้าที่ทำหาร ตำรวจ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ว่าต้องช่วยเหลือประชาชนให้สิ้นสุดกระบวนการไปจนถึงการฟื้นฟู พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย เพราะมีผลถึงสภาพจิตใจของประชาชน
ส่วนการแก้ปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวประสานงานอย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนรับมือทั้งการเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำและสร้างการรับรู้ไปยังประชาชนให้ช่วยกันประหยัดน้ำ และขอรับความช่วยเหลือการบรรเทาปัญหาจากภัยแล้งได้ที่ไหนอย่างไรบ้าง
พล.ต.สรรเสริญเปิดเผยด้วยว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้ใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2557-2561) พร้อมสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนฯไปสู่การปฏิบัติด้วยการแปลงไปสู่แผนบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการกระทรวง กรม แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนแผนพัฒนาองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดทำเป็นโครงการ/กิจกรรม โดยใช้งบประมาณของหน่วยงานมาดำเนินการ พร้อมทั้งกำหนดให้หน่วยงานต่างๆ รายงานผลการปฏิบัติงานเมื่อสิ้นปีงบประมาณ ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือน พ.ย.ของทุกปี
สำหรับสาระสำคัญของแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 มีเป้าหมายสำคัญต้องการทำให้สังคมไทย “เป็นสังคมที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อนำไปสู่สังคม สันติสุข” ซึ่งมีทิศทางครอบคลุมประเด็นสิทธิมนุษยชนทั้ง 11 ด้าน และ 15 กลุ่มเป้าหมาย โดยมีการกล่าวถึงสภาพปัญหา มาตรการ/การปฏิบัติ ตัวชี้วัดความสำเร็จหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งหน่วยงานหลักและหน่วยงานร่วมดำเนินการ และกรอบระยะเวลาดำเนินงานอยู่ในช่วง 5 ปีของแผน (2557-2561) โดยแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้กำหนดมิติของสิทธิมนุษยชน เป็น 11 ด้าน ซึ่งบังเอิญตรงกับแนวทางการปฏิรูป 11 ด้านของ สปช.
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า ครม.ยังอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบกลางที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีและงบไทยเข้มแข็งจำนวน 433,045,220 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาประสิทธิภาพการควบคุมผู้ต้องขังในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์จำนวน 333,508,500 บาท และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในความควบคุมดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจำนวน 99,536,720 บาท ซึ่งรายละเอียดทั้ง 2 โครงการสอดคล้องกับหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ ครม.ได้มีมติไว้