“สมชาย” ชี้ สนช.ต้องรับเรื่องถอดถอน “ค้อนปลอม-นิคม” ไว้พิจารณา ชี้ต้องใช้เสียง 132 ขึ้นไปจึงจะถอดถอนได้ เผยบรรจุถอดถอน “ปู” ไว้ในวาระการประชุมแล้ว ย้ำจำนำข้าวทำเศรษฐกิจชาติพินาศ ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นจำเลยสังคม ปูดอัยการสั่งไม่ฟ้องอาญาอ้างสำนวนอ่อน คาด ป.ป.ช.ฟ้องเอง ร้อง คสช.จัดการกับอัยการสูงสุด ก่อนกระทบศรัทธาต่อประชาชน
วันนี้ (3 พ.ย.) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยถึงการประชุมเพื่อพิจารณาสำนวนถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ในวันที่ 6 พ.ย.ว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าน่าจะข้ามขั้นตอนเรื่องการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับดำเนินการได้แล้ว เนื่องจากตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 64 บัญญัติไว้ว่า เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติว่าข้อกล่าวหาที่มาจากการเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาออกจากตำแหน่งมีมูล และได้รายงานไปยังประธานวุฒิสภา ตามมาตรา 56 (1) แล้ว ให้ประธานวุฒิสภาจัดให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณามีมติโดยเร็ว
ทั้งนี้ แสดงว่า สนช.ซึ่งทำหน้าที่วุฒิสภาจะพิจารณาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากรับไว้พิจารณาเท่านั้น ซึ่งในการประชุมครั้งที่ผ่านมาได้มีการยกเว้นข้อบังคับการประชุมที่กำหนดให้ต้องบรรจุเรื่องที่ ป.ป.ช.ส่งมาไว้ในวาระการประชุมภายใน 30 วันไปแล้ว ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.จะพิจารณาว่าจะบรรจุเรื่องนี้ไว้ในวาระเมื่อไหร่ จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาถอดถอน ซึ่งมีกรอบเวลานับจากวันที่มีการบรรจุไว้ในวาระการประชุม 45 วัน ส่วนจะถอดถอนได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมซึ่งจะต้องได้เสียง 132 เสียงขึ้นไป หรือ 3 ใน 5 ของจำนวน สนช.ทั้งหมด
ส่วนสำนวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่าส่อว่าจงใจละเว้นไม่ยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าวนั้น นายสมชายกล่าวว่า ประธาน สนช.บรรจุไว้ในวาระการประชุมแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตามกระบวนการถอดถอนคือให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาชี้แจงก่อนที่ สนช.จะพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อลงมติต่อไป ซึ่งโครงการนี้สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับระบบเศรษฐกิจไทย หาก สนช.ดำเนินการถอดถอนไม่ได้ก็จะกระทบต่อการทำหน้าที่ของ สนช.ทำให้กลายเป็นจำเลยของสังคม
นายสมชายเปิดเผยด้วยว่า ทราบข่าววงในว่าการพิจารณาร่วมกันในคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พ.ย.นั้น อัยการอาจจะมีคำสั่งไม่ฟ้องโดยอ้างความไม่สมบูรณ์ของสำนวนในประเด็นเดิมๆ ที่เคยอ้างไว้ ป.ป.ช.จึงควรฟ้องเองและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควรใช้อำนาจพิเศษจัดการกับอัยการด้วย เพราะความเสียหายมหาศาลไม่ใช่แค่ 7 แสนล้าน แต่ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมถึงผลกระทบที่เกิดกับอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ ถ้าอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องก็ต้องตอบคำถามสังคมว่าความเสียหายมากขนาดนี้แต่ไม่ดำเนินคดีจะเป็นทนายแผ่นดินได้อย่างไร
“เมื่ออัยการไม่ฟ้อง คสช.ก็ต้องพิจารณาว่านายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุดใช้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนตัวอัยการสูงสุด และพิจารณาด้วยว่านายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด ที่ดูแลเรื่องนี้มีปัญหาหรือไม่ หากมีปัญหาก็ต้องเปลี่ยนตัว เพราะไม่มีความกล้าหาญในการทำหน้าที่ แต่ถ้า คสช.ไม่ทำอะไรแรงสนับสนุนก็จะหายไป เนื่องจากคนเห็นกับตาว่าความเสียหายเป็นอย่างไร นายกฯ พูดเองว่าข้าวเสียหาย 70-90 เปอร์เซ็นต์ เหลือข้าวดีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่สามารถนำคนที่สร้างความเสียหายมารับโทษได้ ย่อมกระทบต่อความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อ คสช.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นายสมชายกล่าว