“เสี่ยจ้อน” เผยโปรแกรมประชุม สปช. 21 ต.ค. เริ่มจากเลือกประธาน หารือกรอบการทำงาน ตั้งทีมร่างข้อบังคับการประชุม ตั้งวิปชั่วคราวเลือก กมธ.ยกร่างฯ แนะรัฐบาลขจัดอุปสรรคการค้าชายแดน หลังซบเซามา 2 ปี
นายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า ในการประชุม สปช.นัดแรกวันที่ 21 ต.ค.นี้ นอกจากจะมีวาระการเลือกประธานและรองประธาน สปช.แล้ว จะมีการหารือกรอบการทำงานของ สปช.ให้ครอบคลุมการปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน รวมถึงแนวทางการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนที่จะต้องดำเนินการภายใน 3 เดือน รวมถึงรูปแบบการทำงานของผู้สมัคร สปช.กว่า 6 พันคน ว่าจะให้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างไร โดยอาจจะเป็นคณะทำงานของด้านต่างๆ รวมถึงแนวทางระดมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 11 ด้าน
นอกจากนั้น ในที่ประชุมจะต้องมีการหารือเรื่องการตั้งคณะกรรมการยกร่างข้อบังคับการประชุม สปช. ซึ่งจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยจะใช้ข้อบังคับการประชุมของ สนช. หรือ ส.ว.เดิมไปก่อน
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ที่ประชุมจะมีการหารือเพื่อตั้งคณะกรรมการประสานงาน สปช.ชั่วคราว (วิป สปช.) ขึ้นมาในเบื้องต้น เพื่อประสานการทำงานของ สปช.ในแต่ละกลุ่มทั้ง 11 ด้านซึ่งจะทำให้การทำงานมีความราบรื่นมากขึ้น รวมถึงการคัดเลือกบุคคลที่จะไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในสัดส่วนของ สปช.จำนวน 20 คน ซึ่งจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ทั้งนี้เชื่อว่าการทำงานของ สปช.จะสามารถเดินหน้าและสัมฤทธิผลได้ภายใน 1 ปีเศษ
นายอลงกรณ์กล่าวว่า จากกรณีตนได้เดินทางไปดูงานการค้าชายแดนระหว่างไทย ลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย พบว่าปริมาณการส่งออกของประเทศไทยติดลบมา 2 ปีแล้ว หากรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักนายกรัฐมนตรี เร่งรัดขจัดอุปสรรคการค้าชายแดนให้ผ่อนปรนลง โดยเปลี่ยนจากเขตความมั่นคงเป็นเขตเศรษฐกิจ ก็จะช่วยส่งเสริมการขายสินค้าและบริการไปยังทั้ง 4 ประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น โดยสามารถเจรจากำจัดปัญหาได้แบบรัฐต่อรัฐ เพื่อทำให้การค้าชายแดนมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการขนส่งสินค้าและการโดยสารของคนซึ่งยอดรวมการส่งออกไปยัง 4 ประเทศ มีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาท ขณะที่ยอดรวมการส่งออกของไทยทั้งหมด คือ 7 ล้านล้านบาท และการส่งออกไปทั่วโลกของทั้ง 4 ประเทศ มีมูลค่า 15 ล้านล้านบาท หากเราสามารถขจัดอุปสรรคได้จะสามารถเข้าไปแบ่งตลาดในส่วนนี้ได้ด้วย รวมไปถึงการขยายตลาดไปยังประเทศเวียดนาม อินเดีย บังกลาเทศ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ก็จะช่วยให้การส่งออกของไทยกระเตื้องขึ้นและกลับมาเป็นบวกได้ภายใน 3 เดือนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์จะทำให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวขึ้นมา
