นายกฯ เป็นประธานประชุมยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เน้นยุทธศาสตร์เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาของในหลวง หวังให้หลุดพ้นประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ย้ำทุก 3 เดือนต้องมีผลงานเป็นของขวัญประชาชน เผยจะดูแลคนใดคนหนึ่งเป็นไปไม่ได้ ต้องเฉลี่ยกัน ให้เวลารัฐบาลและประเทศ ถามสื่อทำยังไงประเทศจะสงบ ปฏิรูปได้ ประชาชนอยู่ดีกินดี หวั่นเรื่องน้ำเป็นปัญหาอนาคต
วันนี้ (13 ต.ค.) ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อเวลา 11.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ มูลนิธิรากแก้ว เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ผอ.สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 30 คนเข้าร่วมประชุม เพื่อดำเนินการตามนโยบายที่แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการขับเคลื่อนดังกล่าว เป็นแผนระยะ4 ปี ซึ่งมีความสอดคล้องกับการพัฒนาที่สำคัญ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ซึ่งรัฐบาลจะนำสิ่งที่ได้จากการหารือมาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการตามนโยบายในช่วงปี 2557-2560 ประกอบด้วยแผนยุทธศาสตร์ 7 ด้าน 1 ใน 7 ยุทธศาสตร์จะเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในภาคการเกษตรและชนบทซึ่งมีพื้นที่เป้าหมาย 18,594 หมู่บ้านหรือร้อยละ 25 ของหมู่บ้านทั้งหมด ใน 4 กลุ่ม คือ พื้นที่หมู่บ้านรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 6 แห่ง หมู่บ้านนำร่องของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ หมู่บ้านนำร่องในโครงการบูรณาการจังหวัดเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของกรมการพัฒนาชุมชนและหมู่บ้านที่รับประโยชน์จากโครงการแหล่งน้ำขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ต่อมาเวลา 13.45 น. ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังการประชุมยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นการหารือว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ รัฐบาลปัจจุบันกำหนดนโยบายขับเคลื่อนประเทศเอาไว้ให้เดินไปข้างหน้าด้วยการนำยุทธศาสตร์เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นหลัก และนำปรัชญาเศรษฐกิจเข้ามาร่วมในการขับเคลื่อนด้วย ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้ประเทศเดินไปข้างหน้าด้วยความยั่งยืน นอกจากนี้ หารือเรื่องความเดือดร้อนประชาชนที่เผชิญหน้ากันมาเป็นเวลานาน วันนี้ประเทศไทยยังไม่หลุดพ้นการเป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง จึงจะทำอย่างไรให้ผ่านเรื่องดังกล่าวไปได้โดยเร็ว มีเหตุผล มีความมั่นคง มีความพอประมาณ และมีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยนำความรู้คู่คุณธรรม ดังนั้น จึงนำยุทธศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาดำเนินงานให้เป็นโรดแมปของประเทศ โดยจะทำให้ประเทศเดินไปในทิศทางใด แบ่งออกเป็น 3 ห่วง 2 เหตุผล
นอกจากนี้ยังหารือกันถึงเรื่องรายได้ พื้นที่ น้ำ การบริหารจัดการ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคสังคม และภาคเอกชน ทั้งหมดต้องขับเคลื่อนทุกองคาพยพไปด้วยกัน นำเอาความขัดแย้งไว้ทางซ้ายทางขวา แล้วแก้ปัญหาไปร่วมกัน ร่วมกับการปฏิรูป และการแก้ปัญหาที่มีมาตั้งแต่อดีต ต้องไม่สร้างปัญหาให้ไปอยู่ในวันข้างหน้าต่อไปอีก ไม่ทำให้ลูกหลานเดือดร้อน จากนี้เป็นต้นไปจะมีการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เช่น การบริหารจัดการแหล่งน้ำ ขุดลอกคูคลอง เจาะบ่อบาดาล ต้องเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ว่า ทุก 3 เดือนจะต้องมีผลงานปรากฎเพื่อเป็นของขวัญให้ประชาชน
“การที่รัฐบาลจะดูแลใครคนใดคนหนึ่งให้มากกว่าทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ ต้องเฉลี่ยแบ่งปันกัน ใครเดือดร้อนมากต้องช่วยก่อน ใครเดือดร้อนน้อยรอนิดนึง ให้เวลารัฐบาล ให้เวลาประเทศ ได้ใช้ภูมิคุ้มกัน วันนี้ประเทศมีปัญหาเดินไปข้างหน้าไม่ได้ต้องหยุดปัญหาแล้วตั้งสติว่าจะแก้ไขปัญหาแต่ละอย่างอย่างไรด้วยการนำความรู้และคุณธรรมที่มีอยู่ นี่คือ สิ่งที่เขาเรียกว่า ภูมิคุ้มกัน ประเทศใช้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ เมื่อประเทศมีปัญหาเราหยุดและดูว่า จะทำอย่างไรต่อไป และก้าวเดินกันต่อไปด้วยความมั่นคง ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นอีก สื่อมวลชนต้องช่วยกันว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบ ปฏิรูปได้ ประชาชนอยู่ดีกินดี” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ และหัวหน้า คสช.กล่าวว่า เรื่องน้ำจะเป็นปัญหาในอนาคต ทั่วโลกภายนอกมีปัญหาเช่นกัน อาทิ สหรัฐอเมริกา และจีนจะแล้งน้ำ ไม่สามารถปลูกพืชอะไรได้ ทุกประเทศในโลกจะมีปัญหาหมด ประเด็นสำคัญที่จะต้องไปพูดคุยระดับชาติ คือ การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก ถ้ามองเฉพาะตัวเราไม่ได้ ต้องมองจากภายนอกเข้ามาด้วย และมองให้เห็นถึงภายในว่า จะทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่ได้ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่นี้ ต้องอยู่อย่างเข้มแข็งให้ได้ คนรวยต้องช่วยกัน คนจนต้องช่วยกัน พูดคุยหารือกันให้ได้ วันนี้ทุกกระทรวงขับเคลื่อนร่วมกันว่า จะนำเศรษฐกิจ และนำการศึกษาไปสู่ชุมชนอย่างไรเพื่อทำให้ความคิดไปในแนวทางเดียวกันเพื่อเดินหน้าประเทศไปให้ได้ บางเรื่องต้องชะลอไว้ก่อน บางเรื่องต้องดูแลคนเดือดร้อน ต้องสร้างความเข้มแข็งตั้งแต่กระบวนการผลิต ไม่ใช่หาเพียงแต่หาเงินจากแหล่งนั้นแหล่งนี้มาอย่างเดียว รัฐบาลเพิ่งเข้ามาเพียง 4 เดือน จะแก้ไขทุกอย่างได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้