เกาะกระแส
00 เริ่มขยับพิจารณายกเลิกกฎอัยการศึกกันแล้ว โดยเริ่มจากวันที่ 6 ต.ค.นี้ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะหัวหน้ากองกำลังรักษาความมั่นคง จะประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าอาจจะพิจารณายกเลิกบางพื้นที่ ที่ไม่เป็นพื้นที่อ่อนไหว และเป็นพื้นที่การท่องเที่ยว แต่ที่น่าจับตาก็คือ พื้นที่ท่องเที่ยวบางแห่ง เช่น ทางภาคเหนือ และตะวันออก เป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของ "กลุ่มอำนาจเก่า" เสียด้วย พูดกันตรงๆ ก็มี เชียงใหม่ พัทยา ที่ผ่านมาถือว่า "แดงแจ๋" แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อต้องการสร้างบรรยากาศ ต้องการหารายได้ ก็ต้องชั่งน้ำหนักกัน
00 ถัดจากนั้นวันรุ่งขึ้น วันอังคารที่ 7 ต.ค.จะมีการประชุมร่วม รัฐบาล และ คสช. คงจะมีการพิจารณาชี้ขาดว่า จะยกเลิกทุกพื้นที่ หรือนำร่องดูสถานการณ์บางพื้นที่ก่อน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง แต่ถ้าให้เดาทาง น่าจะยกเลิกบางพื้นที่ก่อน เน้นเฉพาะพื้นที่การท่องเที่ยว โดยเฉพาะภาคใต้นี่ไม่มีปัญหา ส่วนที่เหลือก็ต้องรอลุ้นเอา แต่ถึงอย่างไร ในที่สุดก็ต้องยกเลิกทั้งหมดนั่นแหละ จะกดไว้แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ ยิ่งเวลานี้ คสช. กลายสภาพเป็นรัฐบาบสมบูรณ์แบบ เป็นรูปแบบสากลแล้ว แต่ยังประกาศบังคับใช้กม.พิเศษแบบนี้ นานาประเทศมองเข้ามา มันก็ไม่สวย นักท่องเที่ยว นักลงทุนไม่น้อยยังลังเล
00 แน่นอนว่าหลายคนอาจบอกว่าไม่ต้องแคร์ต่างชาติ เราเน้นความสงบภายในไว้ก่อน เน้นความมั่นคงของเรา ก็จริง แต่คำถามก็คือ จะประกาศใช้กฎอัยการศึกแบบนี้ตลอดไปหรือ มันดูไม่งาม และที่สำคัญการบริหารด้านความมั่นคง มันน่าจะมีวิธีการจัดการที่เหมาะสมได้หลายทาง โดยเฉพาะมี กม.อื่นๆ ที่บังคับได้ อย่างน้อยก็มีอำนาจพิเศษของ หัวหน้าคสช. ตาม รธน. มาตรา 44 ที่สามารถใช้ได้ทั้ง บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จัดการได้อย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด การรักษาความมั่นคงให้ได้ผลดีที่สุดก็คือ การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพต่างหาก นั่นคือหัวใจ เพราะต่อให้คุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ชาวบ้านยัง "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ นานไปมันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ขอบอก !!
00 พูดถึงเรื่องการเคลื่อนไหวก็ต้องจับตา "เกม" ของพวกเครือข่ายเพื่อไทย ที่เริ่มขยับออกมาแล้ว หลังจาก ป.ป.ช. ยืนยันมติถอดถอนจากตำแหน่งการเมือง เริ่มจาก สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนฯ และ นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กลับไปให้สนช. พิจารณา เห็นแบบนี้ทำให้บรรดาเครือข่ายออกมาเคลื่อนไหวข่มขู่ทันที ที่แหลมออกมาก่อนก็มี อำนวย คลังผา อดีตประธานวิปพรรคเพื่อไทย ที่อ้างว่า เป็นการถอดถอนตามรธน.เก่า ที่ถูกฉีกไปแล้ว จึงไม่มีผล และที่ย้อนศรกลับไปก็คือ สนช. เป็นผลผลิตของเผด็จการ ไม่มีความชอบธรรมที่จะมาถอดถอน ส.ส. - ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้ง
00 แต่ถ้าพิจารณาแบบรู้ทันก็ต้องบอกว่า นี่คือการขู่ไม่ให้ดำเนินการต่อ เพราะถ้าถอดถอนสำเร็จ มันก็จะมีรายการ "ตายยกเข่ง" ตามมา จะเข้าสู่โหมด "คุณสมบัติต้องห้าม" หมดสิทธิ์เข้าสู่สนามการเมืองตลอดชีวิต ตามโรดแมปของ รธน.ชั่วคราว ม. 35 ที่กำหนดเป็น บัญญัติ 10 ประการเอาไว้สำหรับการร่างรธน. ฉบับถาวร พ.ศ.2558 นั่นคือห้ามคนที่เคยถูกเพิกถอนจากตำแหน่งการเมือง หรือต้องคำสั่งขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยชอบตามกม. นั่นหมายถึง พวกที่โดนคำสั่ง ป.ป.ช. ศาลรธน. จะซวยหมด และที่ยืนรออยู่แล้วก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยถูกศาลชี้คดีทุจริต ถูกจำคุกสารพัด !!
00 ยังประกาศเดินหน้าปรับขึ้นราคาแก๊สแอลพีจี เอ็นจีวี และราคาน้ำมันดีเซล ว่าต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ โดย รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี แม้จะเป็นวิธีการค่อยๆ ทยอยปรับราคาไปทีละเล็ก ละน้อย แต่นั่นย่อมหมายถึงราคาที่เพิ่มขึ้น เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญจะกลายเป็นข้ออ้างในการปรับราคาสินค้า ค่าขนส่ง น่าจับตาก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ดีเซลทะลุเกินลิตรละ 30 บาท เมื่อนั้นเราก็จะได้เห็นการขอปรับขึ้นราคาสินค้าตามมาเป็นพรวนเหมือนกับที่เคยเห็นมาแล้วในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อขึ้นไปแล้ว ก็ไม่ลง เวลานี้เราก็เริ่มเห็นบรรดาเรือ รถยนต์โดยสาร ต่างขยับกันแล้ว เหนื่อยแน่ ลุงตู่ !!