xs
xsm
sm
md
lg

เหมาะครับพี่-ดีครับนาย สนช. ชมนโยบาย “บิ๊กตู่” เข้าใจง่าย - “วิษณุ” ครวญ 1 ปี ไม่เสร็จต้องเจริญภาวนา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สนช. ตบเท้าชื่นชมนโยบายนายกฯ พูดเข้าใจง่าย เชื่อสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งได้ “หม่อมอุ๋ย” เตรียมผุดเก็บภาษีทรัพย์สินเพิ่ม นอกจากมรดกและที่ดิน “วิษณุ” รับ 1 ปี ทำไม่เสร็จ ต้องหลับตาเจริญภาวนา ทำเท่าที่ทำได้ ยอมรับเขียนยาว 4 ปี แต่ต้องอธิบายยาว เผยจัดทำนโยบายส่งต่อรัฐบาลชุดใหม่

วันนี้ (12 ก.ย.) ที่รัฐสภา การอภิปรายนโยบายรัฐบาลของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นไปอย่างราบรื่น มีสภาชิกอภิปรายประมาณ 30 คน โดยส่วนใหญ่ได้ลุกขึ้นอภิปรายชื่นชมการแถลงนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า พูดจาเข้าใจง่าย และเป็นนโยบายที่เหมาะสมแก่ประเทศอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน ก็มีข้อเสนอแนะรายละเอียดบางประการ อาทิ การปกป้องสถาบันและนำแนวทางพระราชดำริ เศรษฐกิจมาใช้ในการบริหารประเทศถือเป็นสิ่งที่เหมาะสม พร้อมทั้งสร้างศักยภาพเศรษฐกิจให้มีความเข็มแข้งมากขึ้น และปฏิรูปการศึกษาอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งสร้างอาชีพโดยเน้นภาคอุสาหรรมในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ สนช. กล่าวอภิปรายว่า นโยบายคณะรัฐบาลข้อ 9.4 เรื่องการบริหารจัดการน้ำนั้น ยังมีปัญหาเรื่องสถานสูบน้ำและโรงไฟฟ้าจำนวน 2,388 แห่งทั่วประเทศใช้งานได้มีประสิทธิภาพเพียงครึ่งเดียว เพราะอีกครึ่งหนึ่งในจำนวนโรงไฟฟ้าข้างต้นกลับเดินหน้าไม่ได้ เพราะขาดงบประมาณซ่อมบำรุง ไม่มีงบที่จะเดินไฟฟ้า ซึ่งหากบูรณาการแก้ไขโรงไฟฟ้าทั้ง 2,388 สถานีนี้สามารถแก้ไขให้เดินหน้าได้

ประเด็นที่ 2 เรื่องการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1 นั้น เป็นตัวเลขที่ก้าวหน้ามาก เพราะปัจจุบันเราใช้แค่ 0.22 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งการวิจัยและพัฒนาจำเป็นอย่างมาก จึงขอเสนอให้สถาบันวิจัยเหล่านี้รวมเป็นศูนย์เดียว การทำงานกับภาคเอกชนจะได้มีประสิทธิผล เพราะขณะนี้ภาคเอกชนไม่สามารถทราบได้ว่า องค์กรใดจะมาช่วยในงานด้านการวิจัยได้ การทำงานร่วมกันจึงขาดการบูรณาการ

ขณะที่ รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สนช. กล่าวว่า เห็นด้วยกับนโยบายปกป้องเชิดชูพระมหากษัตริย์ ซึ่งจากรัฐบาลในอดีตตั้งแต่ก่อน 14 ต.ค. 2516 นโยบายรัฐบาลจะขยายความ พูดถึงระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาตลอด แต่ภายหลังเมื่อต้นปี 2544 เข้ามาบริหารประเทศ ก็พูดเน้นเรื่องประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาในสังคมตามมา โดยการที่รัฐบาลนี้เข้ามากำหนดนโยบายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป

สำหรับ นายสมพร เทพสิทธา สนช. กล่าวว่า ขอเสนอรัฐบาลให้รัฐบาลขับเคลื่อนแผนงานยุทธศาสตร์ ที่เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้บรรลุผลสำเร็จ โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี รัฐบาลต้องร่วมกับประชาชนทุกภาคส่วน ทำให้ประเทศไทยเป็นแผ่นดินแห่งเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา พร้อมทั้งขอเสนอให้รัฐบาลปฏิรูปการศึกษาที่สอดแทรกเรื่องคุณธรรมเข้าสู่ระบบการศึกษาให้สมกับที่มีผู้ยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน

หลังจาก สนช. อภิปรายนโยบายคณะรัฐมนตรีครบทั้ง 31 คน รัฐมนตรีได้ลุกขึ้นชี้แจง อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงการเพิ่มมาตรการการเก็บภาษี ว่าจะไม่กระทบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่จะมีการเก็บเพิ่มในธุรกิจที่เกี่ยวกับการค้า และที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน อย่างเช่น ภาษีมรดก และภาษีที่ดิน และยังมีการเก็บภาษีในลักษณะดังกล่าวอีกหลายตัว ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีการเก็บภาษีในลักษณะนี้ โดยมีการเก็บภาษีได้เพียงร้อยละ 19 ของรายได้ประชาชาติ ขณะที่ต่างประเทศสามารถเก็บภาษีได้ร้อยละ 24-25 ของรายได้ประชาชาติ อย่างไรก็ตามมาตรการการเก็บภาษีของรัฐบาลชุดนี้จะทำโดยไม่ให้กระทบผู้มีรายได้น้อยมากที่สุด

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายปกป้องและเชิดชูสถาบันกษัตริย์ เพราะประจักษ์ว่าที่ผ่านมามีหลายอย่างทำให้สถาบันถูกกล่าวหาหรือไม่รู้ข้อเท็จจริง และไม่ให้ความเป็นธรรมต่อสถาบัน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และประชาชนทุกฝ่ายต้องร่วมกัน ไม่ได้หมายความแค่จับกุมคุมขัง ดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ยังการใช้จิตวิทยา สารสนเทศการสื่อสารต่างๆ เช่น เกียวกับที่ผู้ไม่ประสงค์ดี ใช้เป็นวิธีการนำเอาข้อความเกี่ยวกับกษัตริย์ไปเผยแพร่ อย่างรวดเร็ว บิดเบือน ยากกว่าการแก้ไข รัฐบาลจะใช้วิธีระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างสรรค์ มีการเผยแพร่ประวัติศาสตร์ไทย ให้เข้าใจบทบาทสถาบัน เผยแพร่พระราชกรณีกิจ โครงการพระราชดำริ ทำให้เกิดทำความเข้าใจ เข้าถึงโครงการเหล่านั้น โดยเน้นไปดูงานในโครงการพระราชดำริตามถูมิภาคต่างๆ ที่ได้ประโยชน์มากกว่าดูงานต่างประเทศ

ส่วนการบูรณาการการทำงานของรัฐ ยอมรับว่า ในอดีตอาจเป็นปัญหาจริง เพราะการมีหลายพรรคในรัฐบาลแบ่งกันดูแลพรรคละกระทรวง หรือ รมต. มาจากคนละพรรค ทำให้ข้าราชการต้องอิรักอิเหลือ แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดในเวลานี้อย่างน้อย 1 ปี เพราะนายกฯ ย้ำว่ารัฐบาลนี้ไม่มีพรรค และจะกำกับดูแลไม่ให้เกิดความขัดแย้งในรัฐบาลเป็นอันขาด รวมถึงบูรณาการเรื่องส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่นบางเรื่องต้องมีการบูรณาการ แต่การบางเรื่องไม่ดึงงานมาทำเอง

ส่วนนโยบายด้านวัฒนธรรม รัฐบาลจะเชื่อมโยงกับการศึกษากับเศรษฐกิจ เพราะถือว่าวัฒนธรรมเป็นต้นทางพัฒนาเศรษฐกิจได้ โดยในการประชุม ครม. สัปดาห์หน้า จะมีการแบ่งโครงสร้างใหม่ นายกฯจงใจมอบให้รองนายกฯ ที่ดูแลด้านการต่างประเทศ รับเอากระทรวงท่องเที่ยว การกีฬา และวัฒนธรรมไปกำกับดูแล เชื่อมโยงเป็นกลุ่มเดียวกัน ไม่จับเข้าไปในกลุ่มการศึกษา เชื่อว่า จะสามารถลงในแผนปฏิบัติการที่เชื่อมโยงได้ในอนาคต ส่วนเรื่องวัฒนธรรมการไม่ถูกกลืน รัฐบาลเขียนเอาไว้ในนโยบายข้อ4.8 ย้ำเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ภาษาไทย ภาษท้องถิ่นต่างๆ รัฐจะส่งเสริมเรื่องนี้และชูเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนที่เราจะโกทูอาเซี่ยน นายกฯกลัวว่าเราจะอยู่ไปรู้หมด แต่ลืมรู้เรื่องไทย

“ที่ห่วงกันว่า 1 ปี ไม่เสร็จผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากหลับหูหลับตาเจริญจิตภาวนา ทำได้เท่าไหร่เท่านั้น แต่ต้องทำให้ได้มากที่สุด ถือเป็นหัวใจของรัฐบาลนี้ ใจอยากเขียนแผน 4 ปี แต่รัฐบาลนี้มีเวลารู้อยู่จำกัด 1 ปี จะบวกลบก็ช่าง ถ้าทำยาวเกิน ก็เกิดปัญหาต้องอธิบายกันยาว เอาสั้นตรงนี้ทำแผน1ปีให้เท่ากับปีงบประมาณ และตามวาระ รบ. ที่ตั้งไว้โดย รธน. แต่ก็มีระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และรัฐบาลจะเป็นผู้ทำแผนล่วงหน้าเองเพื่อป้อนไปให้รัฐบาลชุดหน้าเข้ามาทำต่อไป” นายวิษณุ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากรัฐมนตรีพากันชี้แจงเสร็จสิ้น นายพีรศักดิ์ พอจิตร รองประธาน สนช. ได้กล่าวขอบคุณและสั่งปิดประชุมเวลา 18.15 น.




กำลังโหลดความคิดเห็น