xs
xsm
sm
md
lg

ปากท้อง-ทุจริต ด่านหินเริ่มสั่นนาวาประยุทธ์ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

แม้จะพยายามเลี่ยงว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 ไม่ใช่เป็นการประชุมอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจเลี่ยงแง่มุมทางกฎหมายเผื่อมีใครหัวหมอเสนอให้ตีความในภายหลัง เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภา ซึ่งตามกำหนดเอาไว้ว่าจะมีขึ้นในวันที่ 12 กันยายนวันเดียว เป็นอันเสร็จพิธี ทั้งที่ในความเป็นจริงถือว่าสมบูรณ์แล้ว หลังจากเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณฯ แต่เพื่อความชัวร์ก็ไม่เป็นไร เป็นการซักซ้อมเรื่องการแถลง กำหนดการแบ่งงานให้กับรองนายกฯ และรัฐมนตรี เรื่องการเตรียมการชี้แจงทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปพลางๆ ก่อนก็ได้

อย่างไรก็ดี ช้าไปอีกวันสองวันก็คงไม่มีปัญหา เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คอยประคองในช่วงรอยต่อเอาไว้อยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน แม้ว่ารัฐบาล “ประยุทธ์ 1”นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นาทีนี้ถือว่ามีความมั่นคงสูงยิ่ง ทั้งในด้านอำนาจทางกฎหมายที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงคนเดียว มีทั้งกำลังในกองทัพสนับสนุนอย่างเต็มที่ ที่นานมาแล้วไม่เคยมีลักษณะแบบนี้ รวมทั้งได้รับการสนับสนุน“ให้โอกาส”จากชาวบ้านพิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่ออกมาล้วนถล่มทลายทุกครั้ง คะแนนเกือบเต็มสิบมาตลอด แม้ว่าในระยะหลังสุดแรงส่งอาจจะแผ่วลงไปบ้าง ไม่ร้อนแรงเหมือนในช่วงแรก แต่ก็ถือว่าว่ายังแรงก็แล้วกัน แรงจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามยังก่อกวนทำอะไรไม่ได้

แต่ที่น่าหนักใจที่ต้องบอกว่าเป็นปัญหาปราบเซียนสำหรับทุกรัฐบาลจะต้องเจอ แล้วแต่ว่ารัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีคนไหนจะต้องเจอแบบหนักหนาสาหัสกว่ากันเท่านั้น นั่นคือ เรื่องปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และเรื่องปัญหาทุจริต ถ้าเริ่มต้นแบบไม่สวยแล้ว มั่นใจได้เลยว่ารัฐบาลนั้นอยู่ได้ไม่นาน

สำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มต้นได้เปรียบกว่าหลายรัฐบาล โดยเฉพาะตัวผู้นำคือนายกรัฐมนตรี เมื่อเปรียบเทียบกับนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่สร้างมาตรฐานเอาไว้ “ต่ำมาก” ทั้งในเรื่องความรู้ความสามารถเรียกว่าทั้งทีมถูกชาวบ้านดูถูกเหยียดหยาม และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำถูกล้อเลียนว่า “ด้อยสติปัญญา” หรือ “โง่” สร้างความพินาศฉิบหายให้กับบ้านเมืองในเวลาอันรวดเร็ว

ดังนั้น ในข้อเปรียบเทียบแบบนี้ถือว่า สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแต้มต่อ อย่างน้อยหากพิสูจน์กันด้วยคำพูด การสนทนาโต้ตอบก็มองออกแล้วว่ามีความรู้รอบตัวและทำการบ้านมาพอสมควร เหลือแต่เรื่องการปฏิบัติจริงเท่านั้นว่า “เจ๋ง” จริงหรือเปล่า

ด่านแรกที่ต้องบอกว่าเป็นด่านหิน ที่ยากจะฝ่าออกไปได้ง่ายๆ นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องค่าครองชีพ เรื่องข้าวของแพงชักหน้าไม่ถึงหลัง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมันเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันแบบนี้ ซึ่งเวลานี้ต้องยอมรับความจริงว่าปัญหายังไม่ดีขึ้น แม้จะอ้างว่ารัฐบาลชุดใหม่ยังไม่ได้เข้าทำงานเลย แต่ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมากว่า 3 เดือนต้องไม่ลืมว่าบ้านเมืองมีการบริหารราชการแผ่นดินโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคนที่เป็นหัวหน้า คสช. ก็เป็นคนเดียวกับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมทั้งรัฐมนตรีในกระทรวงหลักทั้งหมดก็ล้วนมาจากที่เดียวกัน การบริหารจัดการก็มีความต่อเนื่องและเบ็ดเสร็จ

อย่างไรก็ดี ก็ต้องให้เวลาอีกระยะหนึ่ง อย่างน้อยต้องให้รัฐบาลได้บริหารไปอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งก็พอจะเห็นหน้าเห็นหลังเมื่อพิจารณาจากอายุรัฐบาลเฉพาะกาลเพียงปีเศษ ต้องติดตามดูว่าปัญหาราคาสินค้าเกษตรจะดีขึ้นหรือไม่ ยางพารา และข้าว จะดีขึ้นขนาดไหนหรือว่าตกต่ำกว่าเดิม

แต่ที่น่าจับตาก็คือปัญหาการทุจริต เรื่องอื้อฉาวที่บางครั้งอาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็อาจทำให้รัฐบาลเสียเครดิตและเสื่อมถอยแบบไม่น่าเชื่อ อย่างเรื่องที่กำลังมีการขยายผลออกไปในเวลานี้ ก็คือ งบประมาณในการปรับปรุงบูรณะทำเนียบรัฐบาลที่ใช้งบเกือบ 300 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการซื้อไมโครโฟนในห้องประชุมคณะรัฐมนตรีในตึกบัญชาการถึงราคาตัวละ 145,000 บาท จำนวนเกือบหนึ่งร้อยตัว ขณะที่มีผู้ขุดคุ้ยเปรียบเทียบราคาในตลาดจากยี่ห้อเดียวกันรุ่นเดียวกันกลับมีราคาแค่ตัวละ 99,000 เท่านั้น กลายเป็นว่ายิ่งซื้อจำนวนมากราคายิ่งแพง

แน่นอนว่าเมื่อสืบสาวเข้าไปจะพบว่าคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ มีเพียงไม่กี่คน คนแรกที่ถือว่ารับผิดชอบสูงสุดก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. ฝ่ายกิจการพิเศษ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ม.ล.ปนัดดา ดิสกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และ นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งแม้ว่าจะมีการโบ้ยกันไปมา คนละเรื่องกับในตอนแรกที่มีการแถลงด้วยความพอใจถึงความสวยงาม หลังการปรับปรุง รวมไปถึงเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยด้านป้องกันการดักฟังที่คุยว่ามาตรฐานแบบเดียวกับที่ประธานาธิบดีโอบามาของสหรัฐฯเลือกใช้เลยละ

แต่เมื่อถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องการซื้อไมโครโฟนราคาแพงเกินจริง ก็มีการออกมาอ้างว่าแม้จะมีการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามจัดซื้อจัดจ้าง และสามารถเจรจาลดราคาลงมาได้ กลายเป็นว่าเป็น “พิลึก” ติดตั้งทั้งที่ยังไม่ได้ตกลงราคาซื้อขาย ยิ่งชี้แจงยิ่งออกทะเล เพราะหากมีการสืบสาวไปอีกกรณีดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณาถึงเรื่องระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างต้องมีการประกวดราคา แม้จะอ้างว่าในช่วงเร่งด่วนต้องใช้วิธีพิเศษ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอธิบายให้เคลียร์

จะเป็นเพราะเรื่องอ่อนไหวแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถือฤกษ์เข้าทำเนียบฯในฐานะนายกรัฐมนตรีในเวลา 9 นาฬิกา วันที่ 9 เดือน 9 ต้องเลี่ยงไปใช้ตึกสันติไมตรีเป็นสถานที่ “ประชุมซักซ้อม” คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 12 กันยายนนี้แทน ยังไม่กล้าเข้าไปใช้ไมโครโฟนราคาตัวละกว่าแสนสี่หมื่นบาทหรือเปล่า

ดังนั้น เรื่องดังกล่าวรับรองว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว และเป็นเรื่องปกติที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยกำลังนำไปขยายผล มีการร้องเรียนไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากกังวลว่าจะมีการทุจริต และที่สำคัญ ย้อนศรกลับไปกระแทกอีกว่าในเมื่อมีการประกาศไม่ทุจริต ไม่ให้คนอื่นทุจริตแล้วก็ต้องทำให้เคลียร์ ซึ่งก็ถือว่าได้ผลเพราะชาวบ้านก็เริ่มมีปฏิกิริยามีอารมณ์ร่วมมากขึ้น

แม้ว่าทุกเรื่องย่อมมีเหตุผลอธิบายได้ ส่วนจะชัดเจนแค่ไหน มีคนเชื่อหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ยืนยันได้เลยว่า สองเรื่องหลักคือ ปากท้อง และ การทุจริต เป็น “จุดเปลี่ยน” สำคีัญมานักต่อนักแล้ว !!
กำลังโหลดความคิดเห็น