เกาะกระแส
00 ก่อนอื่นต้องออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ใช่ติเรือตั้งแต่ไม่ทันได้ออกจากท่า เพียงแต่มีเจตนามองให้เห็นความจริงอีกด้านหนึ่งเท่านั้น อย่าเพิ่งหงุดหงิด เพราะสิ่งที่เห็นโฉมหน้า ครม."ประยุทธ์1"ที่เพิ่งประกาศออกไปหากไม่รวมนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วก็มีจำนวน 32 คน 34 ตำแหน่ง แยกเป็นตามลักษณะอาชีพ เป็นทหาร 11 ตำรวจ 1 ที่เหลือก็เป็นพลเรือน แต่อย่างที่รู้กันล่วงหน้าแล้วว่าตำแหน่งหลักๆที่มีผลด้านความมั่นคงทั้ง รัฐบาล คสช.รวมไปถึง พล.อ.ประยุทธ ล้วนอยู่ในมือ"ทีมงานคสช."ทั้งสิ้น ชนิดที่เรียกว่า"ซ้อนไขว้กันไปมา"กันแบบ"ความมั่นคงซ้อนความมั่นคง"ยังไงยังงั้นเลยละ!!
00 เริ่มจากตำแหน่งนายกฯ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าสถานะตามรธน.ฉบับชั่วคราว พศ.2557 จะด้อยกว่าหัวหน้า คสช.ด้วยซ้ำไป แต่การมานั่งควบนอกจากป้องกันในเรื่องการประสานงาน ทำงานให้ถึงเป้าหมายแล้ว ยังป้องกัน"อำนาจซ้อนอำนาจ"อย่างได้ผลอีกด้วย นอกจากนี้ในช่วง"เปลี่ยนผ่าน"ยังประกันความมั่นคงในกองทัพในฐานะ ผบ.ทบ.ได้อีกระยะหนึ่งก่อนถึงวันที่ 1 ต.ค.
00 ตำแหน่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ รองนายกฯควบรมว.กลาโหม ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ "พี่ใหญ่"มองในเชิงสัญญลักษณ์ ถือว่า"มีอำนาจเหลื่อมๆนายกฯ"กันเลยทีเดียว เพราะเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงการประกาศรายชื่อเป็นอันดับแรกความหมายก็คือเป็น "รองนายกฯคนที่1" คุมความมั่นคง ก็ต้องทำหน้าที่ "รักษาการนายกฯ"ได้ในบางโอกาส อีกทั้งการนั่งควบ รมว.กลาโหมก็คือการควบคุมกองทัพ และมีความเป็นไปได้ว่า"อาจ"ได้รับมอบหมายให้"กำกับดูแลตำรวจ"อีกด้วย
00 อีกตำแหน่งหนึ่งที่เข้ามาอย่าง"เงียบเชียบ"เหนือความคาดหมายเล็กๆก็คือ ตำแหน่งรมช.กลาโหม ของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ว่าที่ ผบ.ทบ.บุคคลที่"ทรงอำนาจ"มากที่สุดอีกคนหนึ่งในยุคทหารครองเมือง ซึ่งเขาคนนี้ว่าไปแล้วก็คือ "น้องนุชสุดท้อง"ของ "บูรพาพยัคฆ์"ที่ก้าวขึ้นมาตามไลน์ แต่ที่น่าจับตาไปอีกก็คือการเป็น รมช.กลาโหม ก็หมายถึงเป็นอีก"หนึ่งเสียง"ใน"สภากลาโหม"มีผลต่อการโยกย้าย นายทหารในวันหน้า น่าสนใจมั๊ยละ !!
00 โฟกัสไปอีกสองสามคนที่ออกมาในเชิงอำนาจ แบบ"เซ็กชั่นย่อย"ก็ต้องมองมาที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ.ว่าที่รองปลัดกระทรวงกลาโหม แม้จะพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ.แต่คราวนี้ได้เป็น รมว.ยุติธรรม ก็ถือว่าไม่เบา เนื่องจากมีหน่วยงานในสังกัดหลักๆคุมทั้ง ดีเอสไอ ปปง.กรมราชทัณฑ์ ถัดมาก็ต้อง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผช.ผบ.ทบ.ว่าที่ รองผบ.ทบ.แม้จะพลาด แต่ก็มาควบเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ และก่อนหน้านี้ก็ควบตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณ ปี 58 ไปแล้ว แต่ละตำแหน่งธรรมดาเสียที่ไหนละ !!
00 ส่วนรายอื่นแม้ว่าสำคัญ แต่จะออกมาในโทนเกื้อหนุน แบบ"ไว้ใจพี่-ตอบแทนเพื่อน"อะไรแบบนี้ แต่ก็เน้นเนื้องาน อย่าง มท.1 ที่มอบหมายให้ "พี่รอง"พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็เป็นแขนขาด้านอำนาจการปกครองส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรองผบ.ทบ.เป็นรมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นรองนายกฯควบ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งในเบื้องต้นอาจดูขัดๆไปบ้างกับการให้ทหารมาดูแลด้านต่างประเทศโดยเฉพาะภาพลักษณ์ในสายตาตะวันตก แต่ในเมื่อเป็นช่วง"เฉพาะกิจ"อีกทั้งก็มีฝ่าย"พิธีการ"อย่างนักการทูตอาชีพ ดอน ปรมัตถ์วินัย มาเป็น รมช.เข้ามาช่วย เหมือนกับ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย มาเป็นรมว.ศึกษาฯแต่ก็มีมือดีด้านการศึกษามาช่วยอุดช่องโหว่ไว้ให้ ซึ่งกระทรวงนี้แหละที่สำคัญนอกจากวางรากฐานอนาคตชาติแล้วถือว่ามีงบประมาณมากที่สุดอีกด้วย และตบท้ายด้วยตำแหน่ง รมว.คมนาคม ของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง มาคุมงบก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 ล้านล้านบาท ก็ต้องใช้ทีมงานที่ไว้ใจได้
00 ดังนั้นหากมองในแง่ของอำนาจและการประกันความมั่นคงก็ต้องบอกว่ายึดโยงกันทั้ง คสช.-รัฐบาล-กองทัพ และยังเป็นการตอบโจทย์"ยึดอำนาจแบบไม่เสียของ"ซ้ำรอยอดีต เพราะไหนๆก็เสี่ยงออกมาแล้ว ผลในอนาคตจะออกมา"บวกหรือลบ"ก็ต้องกำหนดเองดีกว่า นี่ว่ากันเฉพาะในสายความมั่นคงล้วนๆ ยังมีฝ่ายเศรษฐกิจที่ต้องจับตาไม่แพ้กันเพราะแยกกันไม่ออก แต่ในยุคทหารก็ต้องให้ฝ่ายแรกล้ำหน้าไปก่อน หากวันนี้พูดถึงเรื่องบทบาทความหมายก็ต้องออกมาอย่างที่เห็น ยังไม่พูดเรื่องฝีมือว่าเป็นแบบไหน เพราะยังไม่ได้ทำงาน ไม่ควรเสียมารยาทวิจารณ์ล่วงหน้า !!