เลขาฯ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร่อนแถลงการณ์ ค้าน “ประยุทธ์” นั่งนายกฯ อ้างขัดรัฐธรรมนูญ ม.5, ม.6, ม.10 วรรค 2 เข้าข่ายเกี้ยเซี้ย ขัดระเบียบสำนักนายกฯ ประมวลจริยธรรม ขรก.การเมือง แนะลาออกหัวหน้า คสช.ก่อน ขู่ไม่สนยื่นผู้ตรวจฯ ฟันแน่ เตือนองค์กรอิสระเสนอชื่อนั่ง สปช.ส่อเข้าข่ายประโยชน์ทับซ้อน
วันนี้ (17 ส.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นนายกรัฐมนตรี เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและประมวลจริยธรรม โดยระบุว่า ตามที่มีกระแสข่าวการสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความเหมาะสมมากที่สุดที่ควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยการโหวตของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ขัดรัฐธรรมนูญ 2557 มาตรา 6 ที่มีความพยายามที่จะเปิดประชุมกันในเร็วๆ นี้นั้น
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอคัดค้านการเสนอชื่อและการโหวตรับรองดังกล่าว เนื่องจากหาก พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 หลายมาตรา ประกอบประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทันที เพราะถือได้ว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน” โดยชัดแจ้ง ดังนี้
1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 10 วรรคสอง กำหนดให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถวายคำแนะนำและรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดังนั้น หาก สนช.เสนอชื่อ หน.คสช.เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 19 ย่อมเข้าข่าย “เกี้ยเซี้ย” กัน อันขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ข้อ 6 (4) โดยตรง อีกทั้งการกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งอาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 5 โดยชัดแจ้ง
2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 19 วรรคสาม กำหนดให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติทูลเกล้าฯ ให้นายกรัฐมนตรี “พ้นจากตำแหน่ง” นั้น หาก หน.คสช.และนายกรัฐมนตรีเป็นคนคนเดียวกัน เมื่อนายกรัฐมนตรีกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีเหตุอันสมควรที่จะต้องทูลเกล้าฯ เสนอให้พ้นจากตำแหน่งนั้น บุคคลคนเดียวกันจะเสนอชื่อตนเองให้พ้นจากตำแหน่งได้อย่างไร ที่สำคัญ จะมี “การตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน” ได้อย่างไร และรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวจะมีการบังคับใช้ให้บังเกิดผลขึ้นได้อย่างไร
3) แม้ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีขึ้นมาบริหารประเทศแล้วก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 44 ยังคงกำหนดอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติไว้ต่อเนื่องแทบทุกด้านอยู่แล้ว มีอำนาจในการสั่งการระงับ ยับยั้ง หรือการกระทำใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและเป็นที่สุด ซึ่งเมื่อได้ดำเนินการแล้ว รัฐธรรมนูญกำหนดให้หัวหน้า คสช.รายงานให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว แต่ถ้า หน.คสช.และนายกรัฐมนตรีเป็นคนคนเดียวกัน การใช้อำนาจดังกล่าวจะแยกออกจากกันได้อย่างไร หรือจะส่งรายงานจากมือซ้ายของคนคนเดียวกันให้มือขวาลงรับ กระนั้นหรือ
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงใคร่แถลงวิงวอนมายังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่าอย่าได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือดำเนินการใดๆ อันเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เลย แต่หากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยังคงดื้อดึงและมีมติให้ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว สมาคมฯ จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 45 เพื่อยื่นเรื่องและคำร้องดังกล่าวต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อกรณีดังกล่าวทันที และถ้าจะกระทำได้ พล.อ.ประยุทธ์ เสียก่อนแล้วเท่านั้น
อนึ่ง สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอคัดค้านการที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระหรือองค์กรอื่นของรัฐต่างๆ ที่พยายามที่จะเสนอรายชื่อบุคคลในหรือนอกองค์กรหรือหน่วยงานของตนเข้าไปเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้วยนั้น เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเข้าข่าย “มีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน” อันขัดต่อประมวลจริยธรรมและขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราว 2557 ด้วย เนื่องจากในมาตรา 35 วรรคท้ายกำหนดให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าที่ต้องมีองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากพิจารณาแล้วบางองค์กรอาจไม่มีความจำเป็นและไม่มีความคุ้มค่าที่จะมีอยู่ต่อไป ควรที่จะต้องยุบเลิกเสีย ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีหลายองค์กรเข้าข่ายควรยุบเลิกเสีย ดังนั้นการที่จะมีตัวแทนขององค์กรเหล่านั้นเข้าไปเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติและเข้าไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในที่สุดนั้น จึงเข้าข่ายการ“มีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน” โดยชัดแจ้ง และไม่มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรอิสระเหล่านี้จะเสนอชื่อบุคคลใดเข้าไปเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่หากจะยังมีเรื่องนี้ต้องถึงศาลรัฐธรรมนูญอีกแน่นอน