สนช. หนุนเดินหน้าดันปฏิรูปพลังงานสกัดกลุ่มมาเฟียหากินกับ ปตท. แก้กฎหมาย พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร บีบให้ยอมคลายข้อมูลมากขึ้น ขวางไอเดียแปรรูปเป็นเอกชนเต็มตัว เหมือนเตะหมูเข้าปากจระเข้ เปิดทางให้ฮุบสมบัติชาติ
วันนี้ (11 ส.ค.) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปพลังงาน ว่า เรื่องพลังงานเป็นหนึ่งใน 11 ข้อที่จะทำการปฏิรูป ในฐานะที่ตนได้ติดตามปัญหาพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความซับซ้อนและมีผลประโยชน์มหาศาล เนื่องจากมีกลุ่มมาเฟียพลังงานที่ร่วมกับนักธุรกิจ ข้าราชการ ทำให้โครงสร้างบิดเบี้ยว ซึ่งต้องให้เวลาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการศึกษา เพราะถ้าตัดสินใจผิดไม่ได้ สิ่งที่โครงสร้างพลังงานต้องทำคือ 1. ต้องศึกษาให้ชัดเจนว่าอะไรที่เห็นต่าง และเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มมาเฟียพลังงานจะต้องมีการยกเลิก ที่ผ่านมาระบบพลังงานของไทยบิดเบี้ยวมานานแล้ว ควรมีการพิสูจน์ความมีอยู่จริงของพลังงานในประเทศว่าทั้งหมดมีเท่าไหร่ และการใช้ราคาเดียวกันระหว่างกลุ่มปิโตรเคมี กับกลุ่มครัวเรือน หรือภาคขนส่ง ควรเป็นราคาเดียวกันหรือไม่ วันนี้ ปตท. เป็นบริษัทที่อยู่ในเครือรัฐวิสาหกิจกำไรปีละ 1.5 แสนล้านบาท แต่อ้างว่าไม่ได้กำไรจากการขายน้ำมัน แต่พูดความจริงหมดหรือไม่ว่า ได้กำไรจากบริษัทปิโตรเคมี เพราะมีการซื้อแก๊สในไทยราคาถูก แต่ ปตท. ถือหุ้นอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือกำไรจากท่อแก๊สที่ใช้เงินภาษีจากรัฐ เท่ากับต้นทุน 0 บาท แต่ไปชาร์ตกับ กฟผ. ในการขนแก๊สในราคาแพง สิ่งเหล่านี้ต้องทบทวนหมด แม้แต่กองทุนว่าควรจะมีอยู่หรือไม่ น้ำมันมีอยู่จริงหรือไม่
นายสมชาย กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องปฏิรูปอย่างจริงจังและชัดเจน แต่ควรให้เวลาด้วย เพราะหากตัดสินใจผิดพลาดจะเสียหายมหาศาล สิ่งสำคัญคือต้องมีการเปิดเผยข้อมูลด้านพลังงานทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา โดยมีกฎหมายหลักการที่ต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ และควรมีตัวแทนผู้บริโภคร่วมอยู่ด้วย เป็นองค์กรที่กึ่งรัฐให้การสนับสนุนการตรวจสอบเรื่องการปฏิรูปพลังงาน ข้อมูลที่ไม่เคลียร์วันนี้ทั้งของ ปตท. และข้อมูลบริษัทสำรวจขุดเจาะที่สัมปทานกับไทย ยังไม่ชัดเจนว่าได้แก๊สจากภายในประเทศไปเท่าไหร่ มีการขนออกอย่างไร บริษัทที่ขุดน้ำมันตามแหล่งต่างๆ แม้จะมี พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารแล้ว แต่ก็มีการอ้างเรื่องความลับของข้อมูล ทำให้ไม่ยอมเปิดเผย ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ ถึงเวลาต้องมีการสางปมกฎหมายทั้งหมดที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปทุกเรื่อง
“ปัญหาที่เราวุ่นวายทุกวันนี้ เพราะมีการตะแบงศรีธนญชัย แต่พอเขียนให้ป้องกันสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นการมัดตัวเอง หรือเกิดปัญหาเดตล็อกขึ้นมาอีก ปัญหาของบ้านเราคือไม่สามารถทำให้กฎหมายบังคับใช้ได้จริง และขาดจิตสำนึกความรับผิดชอบ เขียนให้ตายก็ใช้ไมได้ อย่างเรื่องขุดเจาะแก๊สยูโนแคลของ ปตท. ถ้ามีนโยบายสั่งการว่าต่อไปต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้รัฐและสาธารณะทราบ เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันคิดว่าจะบริหารอย่างไรให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด เช่น ทำไมมีการจ้างบริษัทเอกชนจากต่างประเทศมาทำการขุดเจาะในประเทศไทย แต่ตนเองกลับไปลงทุนขุดเจาะตามประเทศอื่นๆ ทำไมไม่ทำเอง ปตท. ควรจะมาขุดเจาะในประเทศเพราะเป็นบริษัทของคนไทย และมีการลดการถือหุ้นของเอกชนลง รัฐควรให้หน่วยงานของรัฐ เข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้นในส่วนของการตลาดตามสัดส่วนที่เหมาะสม ก็จะค่อยๆ กลับไปมีนโยบายหลักในเรื่องพลังงาน ไม่ใช่นโยบายด้านการทำกำไรให้ผู้ถือหุ้น เพราะกำไรที่ได้ 1.5 แสนล้านบาท ครึ่งหนึ่งไปอยู่ในมือฝรั่งหัวดำ หรือนักการเมืองที่ใส่ชื่อบริษัทนอมินีจากสิงคโปร์หรือเกาะเคย์แมนเข้ามา แต่คนไทยกลับใช้น้ำมันกับแก๊สแพง เพราะปล่อยให้คนเหล่านี้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้กำลังมีบางคนอ้างว่าถ้าไม่ให้การเมืองเข้ามายุ่งต้องดัน ปตท. ไปอยู่ในเอกชนร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งฟังดูดี แต่เท่ากับเตะหมูเข้าปากจระเข้ เพราะทุกวันนี้ฮุบไปแล้วครึ่งหนึ่ง ก็จะฮุบอีกครึ่งที่เหลือได้สบาย เพราะทรัพย์สินเหล่านี้ลงทุนด้วยภาษีประชาชน ทั้งโรงกลั่น ท่อแก๊ส และ ปตท. ผูกขาดการขายน้ำมันให้กับหน่วยงานทั้งหมด และผูกขาดปั๊มทั่วประเทศมากที่สุดแล้ว อยู่ๆ จะโยนมาให้เอกชนได้อย่างไร ต้องจับตาและติดตามเรื่องนี้ให้ดี แต่ถ้าจะให้ดึงมาเป็นของรัฐทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะการบริหารงานอาจจะมีปัญหาได้” นายสมชาย กล่าว