ป.ป.ช. เมินโต้ “ปู” ปมชี้มูลจำนำข้าว ยันทำหน้าที่จบแล้ว ไม่จำเป็นต้องแย้งให้เกิดประเด็น ไม่แคร์สังคมแคลงใจ โยน อสส. ศาลฎีกาฯ รับไม้ต่อ ส่วนฟ้องแพ่งเรียกค่าความเสียหายให้เป็นอำนาจ อสส. พิจารณาเอง พร้อมอัปเดตคดีไร่ส้ม นัดสืบพยานปากสุดท้าย 25 ก.ค. นี้ หากอัยการฯ ยังเห็นว่าไม่สมบูรณ์ ป.ป.ช. ฟ้องเองแน่
วันนี้ (22 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกต 7 ข้อ เกี่ยวกับการชี้มูลความผิดโครงการรับจำนำข้าว ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวของ ป.ป.ช. สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนี้ จะเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุด (อสส.) และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติไม่ขอตอบโต้ข้อสังเกตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้ง 7 ข้อดังกล่าว
“หาก ป.ป.ช. ไปตอบโต้จะยิ่งเกิดความสับสน ส่วนการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ป.ป.ช. เร่งรีบรวบรัด และสอบปากคำพยานที่เป็นปฏิปักษ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น เป็นสิทธิที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะสงสัยได้” นายสรรเสริญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ ป.ป.ช. ไม่ชี้แจงข้อสงสัยจะทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงใจหรือไม่ นายสรรเสริญ กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่า ป.ป.ช. ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ใครจะมองอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องนี้อยู่ที่ อสส. และศาลฎีกาฯ จะพิจารณา ป.ป.ช. ไม่ขอไปโต้แย้งให้เกิดประเด็น ซึ่งคาดว่า ในสัปดาห์หน้า ป.ป.ช. จะส่งสำนวนให้ อสส. ได้ และสุดท้ายแล้วหาก อสส. ไม่ส่งฟ้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาฯ ป.ป.ช. จะพิจารณาส่งฟ้องเอง
“ป.ป.ช. ไม่ได้ต้องการปล่อยให้เกิดความเข้าใจผิด แต่เห็นว่า ตามกรอบอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หากไปชี้แจง หรือตอบโต้คงไม่ถูก เพราะจะยิ่งทำให้สับสน ในเมื่อเราทำตามกรอบของกฎหมาย และทำงานตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาแล้ว ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะตั้งข้อสังเกตอย่างไรหรือกี่ข้อก็ตาม ถือเป็นสิทธิของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วน ป.ป.ช. จะไม่ตอบโต้ทุกกรณี เพราะได้ชี้แจงในทุกขั้นตอนเป็นระยะอยู่แล้ว จากนี้ อสส. และศาลฎีกาฯ จะต้องทำงานต่อไป ป.ป.ช. จะไม่คัดค้านหรือโต้แย้งให้เกิดเป็นประเด็น และไม่ว่าจากนี้หากยังมีการวิจารณ์ ป.ป.ช. ในทางเสียหายอีก คงไม่มีมาตรการอะไรที่จะไปดำเนินการ” นายสรรเสริญ กล่าว
นายสรรเสริญ ยังได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวที่ถามอีกว่า ในการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ กรณีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้เกิดความเสียหายมูลค่า 5 แสนล้านบาท จะมีการฟ้องร้องทางแพ่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ โดยกล่าวเพียงว่า ขออนุญาตไม่ตอบเรื่องดังกล่าว
เมื่อถามย้ำว่า ในคดีปกติหากมีมูลค่าความเสียหายเกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการอย่างไร นายสรรเสริญ กล่าวว่า หากเกิดความเสียหาย ตามปกติจะต้องมีการฟ้องร้องค่าเสียหายด้วย โดย อสส. จะต้องเป็นผู้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งจะดูว่าเข้าข้อกฎหมายเรื่องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือไม่ ในขณะที่ ป.ป.ช. จะต้องแจ้งไปในสำนวนอยู่แล้วว่าจากกรณีนี้ได้ทำให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้น แต่หากจะดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งนั้น ทาง อสส. จะต้องเป็นผู้พิจารณา และทำสำนวนเพื่อฟ้องแพ่ง โดยให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายในองค์ประกอบความผิดที่ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ซึ่งถือเป็นความผิดทางกฎหมายอาญา ดังนั้น อยู่ที่ อสส. จะพิจารณาถึงความเสียหายว่าเกิดความเสียหายเท่าไร แล้วจึงไปพิจารณาว่าคดีอาญาดังกล่าวสามารถฟ้องแพ่งได้หรือไม่
สำหรับความคืบหน้าคดี บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดังและพวก ยักยอกเงินค่าโฆษณาจาก บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน 138 ล้านบาท ที่มีกระแสข่าวว่า อสส. กำลังพิจารณาส่งฟ้อง ภายหลังจากที่คณะทำงานร่วม อสส. และ ป.ป.ช. ทำการไต่สวนพยานเพิ่มเติมแล้วเสร็จนั้น นายสรรเสริญ กล่าวว่า คณะทำงานร่วมระหว่าง อสส. กับ ป.ป.ช. ได้มีข้อสรุปในการไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติมจำนวน 3 ราย เพื่อให้สำนวนมีความสมบูรณ์ ขณะนี้มีความคืบหน้าของคดี โดยได้นัดไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติมที่กล่าวอ้าง ซึ่งจะไต่สวนปากสุดท้ายเสร็จสิ้นในวันที่ 25 ก.ค. นี้ หลังจากนั้น คณะทำงานร่วมทั้งสองฝ่ายจะพิจารณาหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการพิจารณาคดี หาก อสส.เห็นว่าสำนวนมีความสมบูรณ์ อสส.จะเป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาลต่อไป แต่หากหาข้อยุติไมได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจฟ้องคดีเองหรือแต่งตั้งทนายความให้พิจารณาคดีแทน