อดีตประธานวุฒิฯ เชื่อ คสช. สรรหา สนช. และ สปช. คัดสรรอย่างดี ชี้ทหารได้ศึกษาความรู้เหมือนพลเรือนทั่วไป ทำหน้าที่ได้ดีเหมือนกัน วอนอย่ารังเกียจ ไม่ได้เก่งแต่รบอย่างเดียว เผยอายุห่างกันกับ “บิ๊กตู่” 14 ปี แต่รู้จักกันในฐานะนายทหารรุ่นน้อง เชื่อเสียสละเข้ามาแก้ไขปัญหาให้จบ ปัจจัยสำคัญคือความปรองดอง ออกโรงป้องกรณีอนุญาตให้ “ยิ่งลักษณ์” ไปเมืองนอก ไม่ใช่ปล่อยเสือเข้าป่าแต่เป็นเรื่องบังเอิญ
วันนี้ (20 ก.ค.) พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานวุฒิสภา ได้เปิดเผยถึงกรณีที่จะมีการสรรหาคณะบุคคล เพื่อเข้ามาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ว่า เสมือนกับการเป็นสมาชิกรัฐสภา ซึ่งจำเป็นจะต้องมีผู้แทนที่มาจากหลายสาขาอาชีพ โดยมองว่าการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะแต่งตั้งให้ผู้ใดเข้ามาดำรงตำแหน่งนั้น เชื่อว่า คงจะมีการพิจารณาคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้วว่าจะต้องมีความรู้ความสามารถอย่างเหมาะสมเพียงพอ ซึ่งเมื่อพูดถึงทหารแล้วก็อยากให้เข้าใจว่า ในทุกวันนี้ทหารได้รับการศึกษาวิชาความรู้เหมือนกับพลเรือนทั่วไป โดยในรั้วโรงเรียนนายทหาร นายตำรวจทั้งสี่เหล่า ก็มีการเรียนการสอนในหลากหลายสาขาวิชา เหมือนกับมหาวิทยาลัยโดยทั่วไป เพราะฉะนั้นในด้านของความรู้ความสามารถ ก็น่าจะเหมือนกันกับคนไทยทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นทหารแล้วจะมีความรู้ความสามารถด้อยกว่าหรือมีความรู้แค่เฉพาะด้านเท่านั้น
โดย พล.อ.ธีรเดช ชี้ให้เห็นว่า สถาบันทหารเป็นสถาบันที่มีการศึกษาอบรมอยู่ตลอดเวลา เช่น โรงเรียนเสนาธิการ (รร.เสธ.) กับวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในต้นแบบของสถาบันการศึกษาอื่นๆ ทั่วไปในประเทศโดยเฉพาะในสาขาวิชาการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงเรื่องความรู้ความสามารถด้านการบริหารจัดการตนไม่มีข้อสงสัยว่า ทหารจะมีความแตกต่างจากพลเรือน ซึ่งน่าจะทำหน้าที่ได้ดีเหมือนกัน จึงไม่อยากจะให้รังเกียจตรงที่ว่า หากมียศแล้ว จะต้องรู้น้อยกว่าคนไม่มียศ หรือจำเป็นจะต้องเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการรบอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่ตัวชี้วัด เพราะจริงๆ แล้วทหารมักจะเป็นต้นแบบขององค์ความรู้ในหลายๆ ด้าน โดยสามารถดูได้จากผลงานของ คสช. ว่าที่ผ่านมาปรากฏผลงานอย่างไรบ้าง และหากเราให้เวลา คสช. มากพอ บ้านเมืองก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ เหมือนกับที่ คสช. พูดอยู่เสมอว่าจะคืนความสุขให้ประชาชน คสช. ก็คืนมาเป็นระยะๆ จนถึงวันนี้ก็คืนความสุขให้กับคนในชาติมาหลายเรื่องด้วยกันแล้ว เพราะฉะนั้นผลงานจะเป็นตัวชี้วัดได้เองว่า แค่ภายในเวลาขนาดนี้ คสช. แก้ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ถึงระดับนี้ ก็อยากจะให้พี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือและให้กำลังใจกับ คสช. ให้มีโอกาสและให้เวลาได้ทำหน้าที่ แล้วผลงานก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คสช. จะทำได้อย่างที่มุ่งมั่นตั้งใจแค่ไหนอย่างไร
พล.อ.ธีรเดช กล่าวด้วยว่า โดยส่วนตัว ตนห่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้า คสช. มากถึง 14 ปี แต่ก็รู้จักในฐานะที่เป็นนายทหารรุ่นน้องที่อยู่ในกองทัพบกด้วยกัน โดยตนเชื่อและก็ได้ยินมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้คำพูดเอาไว้ว่า เมื่อท่านได้เสียสละเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองแล้ว ท่านก็จะดำเนินการแก้ไขให้จบ ตนคิดว่าเป็นความมุ่งมั่นของ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะฯ ที่แน่วแน่ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้เสร็จสิ้นและเสียงสะท้อนในขณะนี้ ไม่ว่านักธุรกิจหรือประชาชนโดยทั่วไป ก็อยากจะเห็นประเทศชาติของเราสงบ มีความมั่นคง เพื่อจะได้ก้าวต่อไปได้เหมือนกับนานาประเทศ ถ้าความขัดแย้งมันยังอยู่ ก็ไม่มีความสงบ ไม่มีใครกล้ามาลงทุน บ้านเมืองก็เดินไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ควรให้เป็นไปตามเป้าหมายและความตั้งใจของ คสช. โดยให้เหตุผลว่าระยะเวลาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่ปัจจัยสำคัญคือทำยังไงที่จะสร้างความเชื่อถือให้กับคนในชาติและมิตรประเทศได้เห็นว่าบ้านเมืองของเราสงบและมีความเรียบร้อยมีความมั่นคงในทุกๆ ด้าน ปัจจัยสำคัญจึง อยู่ที่ความปรองดอง ความขัดแย้งไม่มี และมีความมั่นคง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ คสช. อนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปพักผ่อนที่ยุโรป ในขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีโครงการจำนำข้าว อดีตประธานวุฒิฯ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเข้าใจว่า ทั้ง คสช. และ ป.ป.ช. ต่างก็ทำตามหน้าที่ของตัวเองเหมือนๆ กัน คือ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอลาไปพักผ่อน คสช. เห็นว่าเหมาะสมก็อนุญาต แต่ ป.ป.ช. ก็ทำงานของ ป.ป.ช. ซึ่งชี้มูลมาตรงกันพอดี เพราะฉะนั้นอันนี้น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าจงใจแล้วก็มั่นใจว่า ทั้ง คสช. และ ป.ป.ช. ก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งต่างฝ่ายก็พิจารณากันแล้วเห็นว่าเหมาะสมตามเหตุและผล เชื่อว่าไม่ใช่เป็นการตั้งใจปล่อยเสือเข้าป่าอย่างที่หลายๆ ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งข้อสงสัยกัน