อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ระบุพฤติกรรม “น้องก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ สะท้อนชัดไร้วินัย เชื่ออนาคตจบเห่ ประเมิน “โค้ชเช” ทำโทษเรื่องการไม่มีระเบียบวินัยสมควรแล้ว ชี้หลักฐานอ่อนฟ้องโค้ช แม้ฟังได้ว่าทำร้ายร่างกายจริงก็เป็นความผิดลหุโทษ แต่ไม่อาจดำเนินคดีในประเทศไทยได้ จวกผู้อยู่เบื้องหลังใช้น้องก้อยเป็นเครื่องมือโจมตีโค้ชเช
วันนี้ (19 ก.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 20.20 น. ท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng วิเคราะห์เหตุผลและแง่มุมทางกฎหมาย กรณีที่ “น้องก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติ กล่าวหาว่าถูก “โค้ชเช” เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนทำร้ายร่างกาย ขณะที่แข่งขันอยู่ในรายการ “โคเรีย โอเพน” ณ ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้องการให้โค้ชเชกล่าวคำขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน ว่า
“จากการติดตามฟังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในสมาคมเทควันโด ผู้เคยรู้จักน้องก้อย โดยเฉพาะการแสดงออกหรือพูดจาของน้องก้อยผ่านสื่อออนไลน์ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็พอสรุปได้
การกระทำของน้องก้อยที่กำลังแสดงออกอยู่นี้ รวมทั้งบิดามารดาแสดงให้เห็นถึงปัญหาของสังคมไทยได้อย่างชัดเจนคือ การไม่มีวินัยเอาเสียเลย และบิดามารดานั่นแหละที่เป็นเยี่ยงอย่างให้บุตรเป็นเช่นนั้น
เดินทางไปแข่งขันเทควันโดในนามทีมชาติไทย ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร หรืออื่นๆ ไม่ใช่น้องก้อยหรือบิดามารดาของน้องก้อยเป็นผู้จ่าย แต่เป็นเงินของสมาคม ซึ่งก็เงินภาษีของประชาชนไทยทุกคน
ในวันแข่งขันไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า หรือซักซ้อมร่างกายให้พร้อมเพื่อการแข่ง แต่อยู่ในห้องพักเมื่อใกล้ถึงเวลาการแข่งขัน ผู้ดูแลนักกีฬาต้องติดต่อให้ลงไปแข่งขัน การรีบเร่งโดยที่การแต่งตัวยังไม่เรียบร้อย คู่แข่งต้องยืนคอยอยู่บนเวทีผู้ที่เสียหน้า ก็คือ โค้ชที่ถูกมองว่าไม่สอนให้นักกีฬามีวินัย ซึ่งเกือบจะถูกปรับให้แพ้อยู่แล้ว
การขึ้นเวทีแข่งขันในลักษณะฉุกละหุกเช่นนั้น ย่อมไม่มีสมาธิในการต่อสู้อย่างแน่นอน และแพ้คู่แข่งโดยน้องก้อยแพ้ 6:12 คะแนน แต่จากหลักฐานที่มีผู้นำมาจากรายงานผลการแข่งขันปรากฏว่าแพ้ 4:15 คะแนน
การที่โค้ชเช ทำโทษน้องก้อย เรื่องการไม่มีระเบียบวินัย ก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว
วันนี้คณะกรรมการสอบสวนที่สมาคมแต่งตั้งขึ้นโดยมี พลเรือเอก สุรวุฒิ มหารมณ์ เป็นประธาน ได้นัดน้องก้อยมาให้ถ้อยคำถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ในเวลา 13:00 นาฬิกา แต่น้องก้อยไม่มาและติดต่อตามหาตัวไม่ได้
กลับมี นายพิทักษ์ ผูกพัน อดีตผู้ฝึกสอนกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ซึ่งเคยเป็นผู้ฝึกสอนให้น้องก้อย เปิดเผยว่า เป็นคนแนะนำน้องก้อย ให้ไปแจ้งความดำเนินคดีแก่โค้ชเช ในข้อหาทำร้ายร่างกาย
แสดงให้เห็นว่า การที่น้องก้อยออกมาแถลงเรื่องนี้ต่อสื่อสารมวลชน ก็น่าจะเกิดจากการที่มีผู้อยู้เบื้องหลัง ยุยงส่งเสริมให้กระทำ โดยเฉพาะผู้ดำเนินรายการบางคนที่เอาน้องก้อยและบิดามารดาไปออกรายการกล่าวหาโค้ชเช หลับหลังเพียงฝ่ายเดียว
ส่วนเรื่องการที่จะให้ดำเนินคดีแก่โค้ชเช ในข้อหาทำร้ายร่างกายนั้น
กรณีนี้เกิดขึ้นในต่างประเทศ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาวต่างประเทศ แม้ผู้เสียหายเป็นคนไทยได้ร้องขอให้ลงโทษ จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร ต่อเมื่อเป็นความผิดที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 วรรคสอง
การที่น้องก้อยอ้างว่า ถูกโค้ชเช ทำร้ายร่างกาย แต่ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลที่ตัวน้องก้อย จะมีรอยฟกช้ำ ดำเขียว ตามร่างกายบ้างหรือไม่ ไม่อาจทราบได้ แม้จะมีการพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเกิดจากการกระทำของโค้ชเช หรือถูกคู่แข่งเตะ ต่อย เพราะการแพ้ด้วยคะแนน 15:4 นั้น แสดงว่าต้องถูกเตะ ถูกต่อย มากพอสมควร การกระทำของโค้ชเช ถ้าจะฟังว่ามีการทำร้ายร่างกายก็เป็นความผิดลหุโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในมาตรา 8 วรรคสอง จึงไม่อาจดำเนินคดีในประเทศไทยได้
ชิวิตของน้องก้อย คงต้องยุติจากการเป็นนักกีฬาเทควันโด เพียงแค่นี้ กีฬาประเภทอื่นก็คงยาก เพราะเห็นเธอเคยไปแข่งคาราเตแล้วตำหนิต่อว่ากรรมการที่กำหนดกติกาต่างๆ มากมาย จนเธอรับไม่ได้
แต่คนที่น่าได้รับการตำหนิมากที่สุด ก็คือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และอาศัยน้องก้อยเป็นเครื่องมือเพื่อโจมตีโค้ชเช และผู้บริหารสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย”