อดีต ส.ว. กทม. ฉะการรถไฟฯไร้ธรรมาภิบาลทั้งระบบ เปรียบเปรยทำนาต้องกำจัดวัชพืชเก่าๆ ออกเสียก่อนฉันใด การจะปฏิรูประบบรัฐวิสาหกิจก็ต้องกำจัดกลุ่มคนที่เกาะกินผลประโยชน์ออกไปเสียก่อนฉันนั้น กระทุ้ง คสช. ถือโอกาสสังคายนาใหญ่ที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% ชี้ซูเปอร์บอดล้วนเป็นนักแสวงหากำไร แนะจับตาแปรรูปเอาเอกชนร่วมสวาปาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (12 ก.ค.) เมื่อเวลา 17.30 น. นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม. ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล ภายใต้หัวข้อ “น้องแก้ม” กับปัญหาธรรมาภิบาลของการรถไฟฯ ตามข้อความดังนี้
“ในฐานะที่ดิฉันเคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาลของวุฒิสภามาก่อน ดิฉันจึงเศร้าใจที่คุณประภัสร์ อดีตผู้ว่าการการรถไฟฯให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ถ้าถามว่าผมให้ลูกสาวขึ้นรถไฟไหม ผมคงไม่กล้าเหมือนกัน” นี่แสดงว่าผู้บริหารรู้ดีว่าการรถไฟฯไร้ความปลอดภัย แต่ปล่อยปละละเลยจนกระทั่งลูกสาวเล็กๆ คนหนึ่งของผู้ใช้บริการต้องมาประสบเคราะห์ เพราะความไร้ธรรมาภิบาลทั้งระบบของบริการขนส่งสาธารณะอันเก่าแก่ที่สุดของประเทศ คือการรถไฟแห่งชาติ
แต่ก็นับว่าโชคดีที่การรถไฟฯยังเป็นสมบัติของชาติ ที่ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ และตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ การให้นายประภัสร์ พ้นตำแหน่งแม้เป็นเรื่องปลายเหตุที่ คสช. ควรทำ แต่ก็ไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น หากควรถือโอกาสสังคายนาใหญ่ระบบธรรมาภิบาลและความโปร่งใสของการรถไฟฯ เพื่อเรียกความศรัทธาของประชาชนกลับคืนมา นี่ถ้าสังคมออนไลน์ไม่ออกมาจับเท็จผู้ว่าการรถไฟฯเกี่ยวกับฐานะพนักงานการรถไฟฯของอาชญากรแล้ว ผู้ว่าฯคนนั้นก็อาจยังรั้งตำแหน่งอยู่ และความจริงอื่นๆ ก็อาจจะไม่เปิดเผยออกมา เช่น ระบบเส้นสายในการบรรจุพนักงาน ขนาดคนเคยมีคดียาเสพติดถึง 2 คดี ยังได้รับคัดเลือกเข้ามาในระบบบริการ เป็นต้น นี่แค่ความไร้ธรรมาภิบาลในระดับพนักงานปูเตียงรถไฟเท่านั้น ยังก่อให้เกิดความเสียหาย สะเทือนขวัญสังคมถึงขนาดนี้ แล้วการทุจริตประพฤติมิชอบในระดับสูงขึ้นไปจะก่อให้เกิดความเสียหายมากมายขนาดไหน
ถามว่า หากวันนี้การรถไฟฯไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ คสช. จะสั่งให้ผู้ว่าพ้นตำแหน่งได้ไหม ถึงเวลาแล้วที่การรถไฟควรบริหารจัดการแบบบริษัทโดยมืออาชีพ เป็นธุรกิจบริการสาธารณะแห่งชาติที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% เช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่นที่มีซูเปอร์บอร์ดเข้ามาดูแล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนในภาคธนาคารกลุ่มหนึ่งกับตลาดหลักทรัพย์ และราชการเท่านั้น แต่ไม่มีฝ่ายผู้บริโภคและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเข้าไปมีส่วนร่วมเลย จึงไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นด้านธรรมาภิบาลเท่าที่ควร เพราะซูเปอร์บอร์ดอาจจะมองแต่มิติทางด้านการเงิน การตลาด จนละเลยมิติของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งต้องมีความพอประมาณและการมีภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนมากกว่าผลกำไรเท่านั้น อันเป็นคำปรารภที่ท่านหัวหน้า คสช. ได้กล่าวไว้เป็นสัจวาจาในวันอาสาฬหบูชาปีนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทับซ้อนผลประโยชน์และความโปร่งใสในรัฐวิสาหกิจใหญ่ เป็นภารกิจสำคัญที่ต้องสังคายนาก่อนที่จะไปปรับโครงสร้างอย่างอื่น เหมือนการทำนาหว่านข้าวก็ต้องกำจัดวัชพืชเก่าๆ ออกเสียก่อนฉันใด การจะปฏิรูประบบรัฐวิสาหกิจ ก็ต้องกำจัดกลุ่มคนที่เกาะกินมีผลประโยชน์ทับซ้อนออกไปเสียก่อนฉันนั้น
การปฏิรูประบบรัฐวิสาหกิจใหม่จึงจะเป็นไปเพื่อความโปร่งใส ไร้ทุจริต มีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขสมบูรณ์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง มิใช่เป็นการผลักหมูเข้าปากของกลุ่มผลประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อันดับแรกควรแสดงฝีมือปฏิรูปการรถไฟให้ปลอดภัยไร้การทุจริต จนเกิดศรัทธากับประชาชนเสียก่อนที่จะไปแสวงหาผลกำไรจากสารธารณูปโภคพื้นฐานอื่นบนค่าครองชีพของประชาชนซึ่งอาจจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย คล้ายกรณี “น้องแก้ม” กับการรถไฟฯนั่นเอง”
น.ส.รสนา โพสต์ต่อใต้กระทู้ของตนเองว่า “เกรงแต่ว่าการรถไฟฯจะถูกขายในโอกาสต่อไป มีข่าวมานานแล้วว่าจะแยกการรถไฟออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่เป็นทรัพย์สิน และระบบการเดินรถ จะเอาไปแปรรูป เอาเอกชนมาร่วมกินแบบ ปตท. เอ้ย ร่วมทุน ส่วนระบบรางที่เป็น cost center เอาไว้เป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป คือ การซ่อมแซม การทำอะไรที่ต้องลงทุน ก็ให้รัฐเอาภาษีมาลง ส่วนกิจการที่ทำกำไร ก็ให้เอกชนมาร่วมหุ้น ร่วมกินด้วย จับตาดูดีๆ ก็แล้วกัน ซูเปอร์บอร์ด ล้วนมาจากนักการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ เป็นผู้นิยมการแปรรูปเกือบทั้งนั้น
เหมือนการสร้างรถไฟความเร็วสูง ที่ดินตามแนวรถไฟเป็นของเอกชน ที่จะได้ประโยชน์จากการพัฒนา ลงทุนของรัฐโดยเอกชนไม่ต้องลงทุนพัฒนาเอง รัฐทำให้ด้วยภาษีประชาชน แต่เอกชนได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ อย่าไปว่านักการเมืองทำเลย กลุ่มทุนเป็นคนหนุนหลัง ได้ประโยชน์ร่วมกัน ประชาชนมีแต่เสียตลอดมา
แต่ยังได้ยินแต่วาทกรรมของกลุ่มทุนพวกนี้ว่าถ้ารัฐไปอุ้มประชาชน จะเสียหาย ที่ผ่านมามีแต่ประชาชนที่อุ้มกลุ่มทุนตลอดมา ตั้งแต่พวกนี้ล้มบนฟูกสมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง โดยมีรัฐที่กลุ่มทุนหนุนหลังคอยออกหลักเกณฑ์ให้กลุ่มทุนทำกำไรบนหลังของประชาชนตลอดมาต่างหาก”