“ยิ่งลักษณ์” มอบทนายค้านมติค กก.ป.ป.ช. เหตุงดเผชิญสืบสต๊อกข้าว-งดไต่สวนพยาน 8 ปาก อ้างขอความเป็นธรรมปัดยื้อเวลา ยกพยานยันข้าวไม่หาย โบ้ย “สุภา” ไม่ยอมบันทึกลงบัญชี ยังไม่ได้ข้อยุติไม่ควรกล่าวหา โวยประเมินค่าเสื่อมสภาพแค่คาดคะเน ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ประมวลผลขาดทุนคลาดเคลื่อน ไม่ยอมไต่สวน “อำพน” ที่ช่วยยันว่าอยู่ในฐานะดูแลนโยบาย ย้ำไม่ฟังพยานถือว่าไม่ชอบด้วย กม.
วันนี้ (8 ก.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจ เดินทางมายื่นคำร้องต่อประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอโต้แย้งและคัดค้านมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตามหนังสือชี้แจงเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2557 ที่ให้งดการเผชิญสืบสต็อกข้าวและให้งดการไต่สวนพยานจำนวน 8 ปาก โดยเห็นว่าการงดการไต่ส่วนจะทำให้ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี และยืนยันว่าการยื่นคำร้องเพื่อขอโต้แย้งมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการประวิงคดีเพื่อให้เกิดความล้าช้าแต่อย่างใด ต้องการขอความเป็นธรรมในการพิสูจน์ความผิดในเรื่องที่ถูกกล่าวหาเท่านั้น
สำหรับประเด็นที่ขอโต้แย้งและคัดค้านมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น มีทั้งหมด 4 ประเด็น ประกอบด้วย เรื่องให้งดการเผชิญสืบสต็อกข้าว จำนวน 2.977 ล้านตัน และงดสืบพยานจำนวน 3 ปาก คือ 1. นายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล (ผอ.อคส) 2. นายประกอบ รัตนาภักดี หัวหน้ากองธุรกิจข้าว ทำการแทน ผอ.อ.ต.ก. 3. นายพชร อนันตศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกองกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและยืนยันว่าข้าวจำนวน 2.977 ล้านตันไม่ได้สูญหายหรือขาดทางบัญชี ตามหนังสือของกระทรวงการคลัง ที่ กค.0201/17315 ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2556 ที่โต้แย้งเกี่ยวกับการปรับบันทึกข้าวจำนวน 2.977 ล้านตันในบัญชี ในขณะที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธาน กลับไม่ยอมบันทึกจำนวนข้าวสาร 2.977 ล้านตันลงในบัญชี ทำให้ตัวเลขทางบัญชีกับข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน และเป็นประเด็นที่ยังไม่มีข้อยุติ ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงไม่สามารถตรวจสอบที่จะยืนยันหรือรับรองปริมาณข้าวสารดังกล่าวได
ดังนั้น เมื่อสต๊อกข้าวสารจำนวน 2.977 ล้านตันนั้นยังมีข้อโต้แย้งกันระหว่างอนุกรรมการปิดบัญชีกับองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ทำให้จำนวนปริมาณข้าวสารตามรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี ยังไม่มีข้อยุติถึงจำนวนปริมาณข้าวสารของโครงการรับจำนำข้าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงไม่ควรนำมาเป็นตัวเลขผลการขาดทุน และความเสียหายตามรายงานของคณะกรรมการอนุปิดบัญชีดังกล่าวมากล่าวหาว่าตนกระทำการละเลยไม่ระงับยับยั้ง ก่อให้เกิดการทุจริตและเสียหายต่อโครงการรับจำนำข้าวได้
ประเด็นที่ 2 เรื่องการคำนวณค่าเสื่อมราคาของข้าว จากการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า การคำนวณค่าเสื่อมของข้าวยังไม่มีหลักการที่แน่นอน คณะอนุกรรมการปิดบัญชีจึงไม่ได้นำค่าเสื่อมราคาของข้าวมารวมคำนวณด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้งดการไต่สวนพยานปากศาสตราจารย์ถวิล พึ่งมา ประธานคณะทำงานกำหนดกรอบคุณภาพและกลไกราคาตามสภาพข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาล และนายพิชัย ชุณหวชิร นักบัญชีอิสระนั้น
ดังนั้น ขอโต้แย้งคัดค้านว่า ตามรายงานของคณะกรรมการอนุปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ได้ระบุการคำนวณค่าเสื่อมสภาพของผลผลิตทางการเกษตรโดยหลักการประมาณร้อยละ 20 ต่อปี ไว้ในรายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชี ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 ข้อ 2.3 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2556 ข้อ 2.3 เช่นกัน การประเมินค่าเสื่อมสภาพของสต๊อกข้าวคงเหลือว่ามีความเสื่อมสภาพเป็นกี่เปอร์เซ็นต์นั้น จึงเป็นเพียงการคาดคะเนไม่ใช่ข้อเท็จจริง ทำให้การรายงานตัวเลขทางบัญชีของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงไม่สมควรที่จะนำตัวเลขการปิดบัญชีมาเป็นประเด็นข้อกล่าวหาว่าตนก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงการรับจำนำข้าว ทำให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้น
ประเด็นที่ 3 เรื่องประเมินผลการขาดทุนตามรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 ซึ่งมีตัวเลขผลการขาดทุนที่มีความแตกต่างจากความเห็นของนายสมชัย สัจจพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ในทางลดลงถึง 172,933.83 ล้านบาท โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า แม้ว่าผลการขาดทุนลดลงแต่ก็ไม่มีผลทำให้การปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลขาดทุนลงแต่อย่างใด จึงให้งดการไต่สวนพยานปากนายสมชัย สัจจพงศ์ และนายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะทำงานผู้บริหาร บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด นั้น
ขอโต้แย้งคัดค้านว่า จากประเด็นเรื่องสต๊อกข้าวสารจำนวน 2.977 ล้านตัน ที่ไม่ได้ลงในรายงานในคณะอนุกรรมการปิดบัญชีก็ดี การคิดค่าเสื่อมราคาที่ยังไม่มีหลักการที่แน่นอนก็ดี ดังที่กล่าวมาแล้วในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 2 นั้น รวมทั้งการประมวลผลการขาดทุน ตามรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง และยังไม่เป็นที่ยุติ อีกทั้งข้าวที่อยู่ในโกดังกลางก็ยังไม่นำออกขายทั้งหมด กรณีจึงยังไม่แน่ว่าจะขายได้จำนวนเท่าไหร่ การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.นำตัวเลขผลการขาดทุน ตามรายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีของนางสุภา ปิยะจิตติ มาเป็นประเด็นความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว โดยไม่รับฟังพยานหลักฐานของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหานั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับประเด็นที่ 4 เรื่องเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหาย โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้งดการไต่สวนพยานปากนายอำพน กิตติอำพน โดยอ้างว่าพยานปากนี้ได้ทำหนังสือชี้แจงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวไว้แล้วนั้น
ขอโต้แย้งคัดค้านว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติก็ดีล้วนแต่อยู่ในระดับนโยบายในการกำกับดูแล จึงเป็นไปในรูปของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งนอกจากจะปรากฏตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวต่างๆ แล้วก็ยังปรากฏจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีนั้นได้มอบหมายสั่งการกำชับในที่ประชุมที่ให้แต่ละหน่วยงาน และผู้ที่รับผิดชอบในระดับปฏิบัติการ ไปหามาตรการในการป้องกันการทุจริต รวมทั้งให้ดำเนินโครงการให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งนายอำพน กิตติอำพน ในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในฐานะประจักษ์พยานจะได้ให้ข้อเท็จจริงถึงพฤติการณ์การกระทำได้ อันถือว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาของข้าพเจ้า” จึงไม่เพียงแต่เฉพาะการรับฟังพยานเอกสารเท่านั้น การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้งดไต่สวนพยานนั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้านนายวิม รุ่งวัฒนจินดา อดีตเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นคำร้องต่อประธาน ป.ป.ช.และคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อโต้แย้งในการเผชิญสืบเรื่องสต๊อกข้าวและขอให้สอบพยานบุคคลเพิ่มเติม 8 ปากนั้น ประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษ คือ เรื่องข้าวจำนวน 2.977 ล้านตัน ที่คณะกรรมการอนุกรรมการปิดบัญชีรับจำนำข้าวทำรายงานต่อ ป.ป.ช.ว่าข้าวจำนวนจำนวน 2.977 ล้านตันขาดหายไปจากบัญชี ในขณะที่เจ้าหน้าที่ อ.ต.ก.และ อคส.ซึ่งเกี่ยวข้องในโครงการรับจำนำข้าวออกมายืนยันว่าข้าวจำนวน 2.977 ล้านตันยังคงอยู่ในระบบ ทำให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวยังไม่มีข้อยุติ ป.ป.ช.ควรมีการสืบพยานเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าข้าวจำนวน 2.977 ล้านตันยังอยู่ หรือมีการทุจริตคอร์รัปชันไปแล้ว หากข้าว 2.977 ล้านตันยังอยู่ในระบบ แล้ว ป.ป.ช.ลงโทษรัฐบาลว่าทำข้าว 2.977 ล้านตันหายไปหรือทุจริต จะทำให้ข้าวที่เหลืออยู่ในระบบ 2.977 ล้านตันที่ยังอยู่ในระบบ ตามคำยืนยันของ อ.ต.ก.และ อคส.ถูกปกปิด และมีการทุจริตหลัง ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยชี้ขาด ขณะนี้หลายฝ่ายกำลังมองว่ามีการปกปิดซ่อนเร้นข้าวจำนวน 2.977 ล้านตันไว้ให้ใคร