ศาลปกครองกลางพิพากษา “วีรบุรุษนาแก” รุกแม่น้ำแควน้อย ยันคำสั่งกรมเจ้าท่าเมืองกาญจน์ให้รื้อถอนสิ่งรุกล้ำลำน้ำชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เจ้าตัวถมหิน-ดินเกินกว่าที่ดินในสิทธิครอบครอง เกินกว่าที่อนุญาต ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินส่วนที่ถูกน้ำเซาะหายไป ต้องตกเป็นสมบัติแผ่นดิน
วันนี้ (18 มิ.ย.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยื่นฟ้องกระทรวงคมนาคม, สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม, รองปลัดกระทรวงคมนาคม, กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี, อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี, และหัวหน้าสำนักงานการขนส่งทางน้ำที่ 3 สาขากาญจนบุรี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-6 ตามลำดับ กรณีหน่วยงานผู้ถูกฟ้องมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่ได้ถมหิน ดิน และทรายลงในแม่น้ำแควน้อย รุกล้ำลำธารสาธารณประโยชน์ บริเวณรีสอร์ทภูไพรธารน้ำ หรือไรจิตตรี หน้าโฉนดที่ดินเลขที่ 7783 ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี หลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีแต่ผู้มีอำนาจในการพิจารณามีคำสั่งยกอุทธรณ์ เป็นเหตุให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งและผลการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลปกครองกลางระบุว่า การทิ้งหินกันน้ำกัดเซาะล่วงล้ำเข้าไปในแม่น้ำแควน้อยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร อยู่นอกแนวเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7783 และต่อมาพื้นที่ส่วนดังกล่าวได้มีการปลูกต้นไม้ จัดพื้นที่เป็นสวน และทางเท้าปูด้วยหินแผ่นไปตามแนวแม่น้ำแควน้อย อันเป็นการกระทำไม่อาจอนุญาตให้กระทำได้ จึงถือเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 117 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย 2456
ส่วนที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 มีหนังสืออนุญาตให้ทิ้งหินกันน้ำกัดเซาะบริเวณดังกล่าวได้ เห็นว่า ตามหนังสืออนุญาตผู้ถูกฟ้องที่ 6 ได้ระบุเงื่อนไขในการทิ้งหินดังกล่าวจะต้องไม่ยื่นล้ำเกินกว่าแนวขอบเขตที่ดินในสิทธิครอบครอง แต่เมื่อการทิ้งหินกันน้ำเซาะของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ใช่บริเวณที่ดินที่ตนมีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างก็ไม่ได้มีลักษณะตามที่กฎกระทรวงฉบับที่ 63 ซึ่งออกตามความ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทยให้อนุญาตกระทำได้ และที่อ้างว่าการทิ้งหินถมดินลงในแม่น้ำแควน้อยตามแนวเขตสีแดงด้านนอกที่ติดกับลำน้ำในภาพถ่ายทางอากาศเมื่อปี 2538 มิได้รุกล้ำเข้าไปในเขตของแม่น้ำแต่เนื่องจากกระแสน้ำได้พุ่งตรงเข้ามายังที่ดินบริเวณที่พิพาทของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และกัดเซาะเอาเนื้อที่ดินของให้หายไปตามกระแสน้ำตั้งแต่ก่อนสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์มาจนกระทั่งปัจจุบันเป็นจำนวนมากนั้นก็ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากพบว่าเขื่อนฯ สร้างในเดือน มี.ค. 2522 แล้วเสร็จในปี 2528 แต่ที่ดินแปลงดังกล่าวมีการซื้อขายกันภายหลังเขื่อนสร้างเสร็จแล้วถึง 6 ปี ซไม่พบว่าได้มีการทำการหวงกันแนวเขตที่ดินที่ถูกแม่น้ำแควน้อยกัดเซาะแต่อย่างใด จนปี 2535 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำใดๆ ที่แสดงถึงการหวงกันแนวเขตที่ดินซึ่งถูกแม่น้ำแควน้อยกัดเซาะแต่อย่างใด
ดังนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ถูกน้ำเซาะหายไปในแม่น้ำแควน้อยอันเป็นทางสัญจรทางน้ำของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันซึ่งตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้วตามมาตรา 1304 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นคำสั่งของผู้ถูกฟ้องที่ 6 ที่สั่งให้รื้อถอนจึงชอบแล้วด้วยกฎหมายแล้ว