ป.ป.ช. เผยใช้นวัตกรรมใหม่ นำระบบศาลมาใช้ในกระบวนการไต่สวน ทำให้งานรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันเตรียมเสนอขยายขอบเขตอำนาจ ให้สามารถดำเนินการเอาผิดเอกชนที่ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการคอร์รัปชันด้วย
นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการบรรยายพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การบูรณาการประชาสัมพันธ์เชิงรุก” ว่า ป.ป.ช. มีนวัตกรรมใหม่เพื่อให้การไต่สวนมีความแปลกใหม่ในกระบวนการไต่สวน นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นการนำระบบศาลเข้าไปในองค์กรอื่นๆ ทำให้สามารถทำให้กระบวนการไต่สวนรวดเร็วขึ้น ทั้งนี้ การสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนและทุกภาคส่วน เห็นว่าการไต่สวนดีกว่าระบบการกล่าวหาอย่างไร เพราะจะทำให้กระบวนการไต่สวนลดลง เนื่องจากกระบวนการไต่สวนคดีสามารถ พิสูจน์หลักฐาน และตรวจสอบควบคู่กับกระบวนการไต่สวนได้ ขณะที่กระบวนการกล่าวหาต้องพิสูจน์จนกว่าจะสิ้นสภาพจึงใช้ระยะเวลานานกว่ากระบวนการไต่สวน
“คนทุจริตจะต้องไม่ลอยนวล เราต้องเอาชนะให้ได้ โดยการเอาคนผิดมารับโทษให้ได้ โดยจะต้องชื่นชมคนที่ทำดี ซึ่งเป็นการส่งเสริมคนดีให้มีจิตสำนึกในสังคม” นายวิชา กล่าว
นายวิชา ในฐานะโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าในการกำหนดขอบเขตอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช.ว่า อยู่ระหว่างหารือถึงความเหมาะสม เพราะการตรวจสอบไม่ควรจำกัดอยู่กับเฉพาะผู้ตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริต เนื่องจากบริษัทที่เข้าดำเนินการร่วมกับรัฐ อาจเป็นผู้ร่วมทำการทุจริต จึงควรมีการตรวจสอบอย่างชัดเจน โดยอาจยื่นตรวจสอบ ว่า บริษัทมีการป้องกัน ตรวจสอบอย่างรอบคอบ หรือระมัดระวังการร่วมทุจริตกับภาครัฐหรือไม่ ภาคเอกชนควรมีส่วนในการรับผิดชอบมากขึ้น
นอกจากนั้น ต้องหารือถึงขอบเขตอำนาจในด้านอื่น เช่น การจับกุม เพื่อป้องกันไม่ให้ทับซ้อนหรือก้าวก่ายหน่วยงานอื่นของรัฐ ซึ่งหากมีความชัดเจน เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติ ก็จะมีการยื่นสภานิติบัญญัติ ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สำหรับแนวโน้มปรับวิธีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นจะเรียกให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินไม่เกิน 3 ครั้ง ระยะเวลาครั้งละ 1 เดือน หากยังไม่มารายงานจะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ทั้งนี้ มีกฎหมายและวิธีการปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ต้องเพิ่มประสิทธิในการปฏิบัติงาน เพราะที่ผ่านมามีกรณีที่ผู้ตำแหน่งทางการเมืองเลี่ยงการยื่นบัญชีทรัพย์สิน
สำหรับความคืบหน้าโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายวิชา กล่าวว่า ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพราะกระบวนการทางกฎหมายสิ้นสุดเมื่อมีการชี้มูลความผิดหรือให้ตกไป ส่วนความเห็นที่มีต่อโครงการจำนำข้าว ป.ป.ช. ยืนยันมาโดยตลอด ว่า ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งจะต้องผลักดันให้มีการยับยั้งต่อไป
“การทำงานของ ป.ป.ช. ไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะใคร หากมีการร้องเรียน จึงทำการไต่สวน ไม่มีการตั้งประเด็นขึ้นมาลอยๆ เรายึดหลักว่าต้องมีคนร้อง และมีหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ ซึ่งยึดเป็นแนวปฏิบัติมาโดยตลอด”