สะเก็ดไฟ
ตอนจบไม่พลิก...เป็นไปตามคาด คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยังเป็นได้แค่เสือกระดาษ แพ้คคีเรื่องการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในชั้นศาลปกครองสูงสุดให้กับบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อยแล้ว
ถือว่าไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไหร่ หากมองตามบรรทัดฐานที่ศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยเอาไว้ในคดีที่ กสทช.เคยร้องบริษัทแกรมมี่ในลักษณะเดียวกันเมื่อตอนฟุตบอลยูโรเมื่อสองปีก่อน ดังนั้นหากพลิกแพลงไปนอกเหนือจากนี้อาจกลายเป็นสองมาตรฐานได้
เมื่อใช้มาตรฐานเดียวกัน ก็ต้องออกมามาตรฐานเดียวกันแบบนี้
คนที่เจ็บช้ำก็คงมีคนไทย โดยเฉพาะ กสทช.ที่ไม่สามารถกู้หน้ากู้ตา ลบภาพความไร้น้ำยาของตัวเองที่ไม่สามารถต่อสู้ให้ประชาชนได้เลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หนำซ้ำยังโดนตั้งแง่ว่านอนกินเงินเดือนสูงลิ่วไปวันๆ
เดิมที กสทช.เองก็หวังว่าจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองจากคดีนี้ไว้เยอะพอสมควรเพราะต้องการจะให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่คนจะจดจำ กสทช.มากกว่าภาพลักษณ์ด้านแย่ๆ ที่ถูกโหมกระหน่ำก่อนหน้านี้
เนื่องจากฟุตบอลโลกถือเป็นมหกรรมที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษยชาติและคนไทยที่คลั่งไคล้ หากทำสำเร็จย่อมได้รับเสียงปรบมือที่ดังอื้ออึงไปช้านานอย่างน้อยๆ ก็มีแนวร่วมให้คนชื่นใจมากกว่าติด่า ชนิดว่าทำครั้งนี้ลบเรื่องเลวร้ายที่มีเป็นร้อยได้เลย
แต่ในเมื่อฝีมือก็ไม่ถึงก็ยอมรับก้อนอิฐ ที่พร้อมใจกันเขวี้ยงใส่แบบจัดเต็มต่อไป!
อย่างไรก็ตาม นาทีนี้ตามกฎหมายแล้วเบ็ดเสร็จอาร์เอสสามารถถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในช่องทางของตัวเองได้เต็มๆ 64 แมตช์ ผ่านฟรีทีวี 22 แมตช์ ได้ตามแผนเดิมไม่มีเซอร์ไพรส์ให้คนไทยดีใจแบบกระโดดโลดเต้นเหมือนที่แอบหวังเล็กๆ กันก่อนหน้านี้หลังมีข่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประสานกับอาร์เอสให้ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกเรียบร้อยแล้วเพื่อสร้างความสุขให้คนไทย กลายเป็นฝุ่นลม ข่าวโคมลอยแบบหมดจด
กระนั้นก็ตาม แม้วันนี้อาร์เอสจะชนะคดีจนทำให้ข่าว คสช.ดีลใต้ดินประสานขอเป็นของปลอมก็จริง แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่ากระแสลักษณะนี้หากไม่มีมูลหมาย่อมไม่ขี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยต้องมีความพยายามหรือไม่ก็เกมการตลาดสร้างคะแนนความนิยมให้กับ คสช.เอง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลฟุตบอลโลกหนนี้ที่จะเบี่ยงกระแสลดโทนจากบรรยากาศตึงเครียดทางการเมืองได้หากมีใครสักคนทำให้คนไทยกระชุ่มกระชวยได้ด้วยการได้ดูฟุตบอลทุกคู่ตามใจปรารถนาอาจกลายเป็นขวัญใจชาวประชาในระยะเวลาสั้นๆ ได้เหมือนกัน
เขาว่ากันว่า มีคนใน คสช.ก็คิดมุมนี้เหมือนกัน!
แต่ในเมื่อวันนี้อำนาจการถ่ายทอดสดกลับไปอยู่ในอุ้งมือของอาร์เอสแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วคงเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องทำใจยอมรับว่าได้ดูเฉพาะคู่เล็กๆ ที่ถ่ายทางฟรีทีวีเท่านั้น ยกเว้น...ยกเว้น และยกเว้นว่ามีคนที่ใหญ่กว่าจะอนุมัติสร้างความสุขให้คนไทยได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น คสช.เองที่ยังมีช่องให้สวมบทอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยคอบอลชาวไทยให้กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง
อย่าลืมว่าวันนี้ คสช.เป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และล้นพ้นสามารถออกประกาศ ออกคำสั่งต่างๆ ได้อย่างครอบจักรวาล แม้แต่เรื่องของการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในครั้งนี้ที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินไปแล้วก็ตามซึ่ง คสช.ทำได้หากคิดจะทำ แล้วการทำยิ่งจะเป็นผลดีต่อตัว คสช.เองต้องตระหนักไว้เสมอว่า กลุ่มคนในประเทศไทยที่รักชอบกีฬาฟุตบอลนั้นมีจำนวนมหาศาลซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นวัยรุ่นเสียด้วย ฉะนั้นหากดึงกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาเป็นแนวร่วมได้ อาจทำให้ คสช.มีแนวร่วมเพิ่มมากขึ้นตรงกันข้ามกระแสต่อต้านกลับยิ่งจะน้อยลงตามไปด้วย
กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของการเมืองมากนักแถมยังรู้สึกไม่ค่อยดีเสียด้วยหลังถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะตั้งแต่ คสช.ประกาศเคอร์ฟิวกำหนดเวลาเข้าออก หาก คสช.ปลดล็อกความรู้สึกเหล่านี้ได้นอกจากกลุ่มคนเหล่านี้จะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคสช.แล้วยังอาจไปหันสนับสนุนก็ได้
อย่าลืมว่ากลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มคนกลางๆ พวกนี้คือตัวจุดกระแสชั้นดี
ขณะเดียวกันยังเป็นการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสจากการตีกรอบเสรีภาพด้วยการประกาศเคอร์ฟิวด้วยการหาสิ่งทดแทนที่ทำให้ประชาชนไม่รู้สึกอึดอัดและยอมรับอยู่กับกรอบเหล่านี้ได้อย่างมีความสุขนั่นคือ ไหนๆ เลือกจะเคอร์ฟิวแล้วก็หาฟุตบอลให้ทุกบ้านได้ดูแก้เบื่อ แก้เซ็งในช่วงเวลาที่ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ เสมือนเป็นห้วงเวลาของครอบครัว
ส่วนวิธีการจะคืนความสุขให้คอบอลอย่างไรนั้น แน่นอนว่าการไปบังคับขู่เข็ญให้อาร์เอสยอมจำนนฉายทั้ง 64 แมตช์ มันก็น่าเกลียดจนเกินไป แถมยังมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเป็นยันต์กันผีไว้ หากทำแบบนั้นจะเสมือนเป็นการปล้นทรัพย์เอาเปล่าๆ แต่ว่ากันตามเนื้อผ้า 22 แมตช์มันก็ดูใจจืดใจดำเกินไปสำหรับราชอาณาจักรไทยที่มีแฟนฟุตบอลจำนวนมหาศาล ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำให้ปริมาณแมตช์ที่ถ่ายทอดสดทางฟรีทีวีมันขยับเขยื้อนกันขึ้นมาบ้าง
แต่จะใช้วิธีไหน จะเดินเกมบนดินหรือใต้ดินอย่างไรนั่นเป็นเรื่องของ คสช.ที่ต้องไปทำ เพราะประชาชนสนอย่างเดียวคือ ได้รับชมได้รับสุนทรียรสมากกว่าเดิม และรู้ว่าใครเป็นคนทำให้เขามีความสุขเท่านั้นพอ ไม่ใส่ใจกับรายละเอียดมากมายอะไรนัก
เรื่องนี้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่ยิ่งใหญ่ที่ คสช.ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะหากต้องการหาแนวร่วมเพื่อสนับสนุนตัวเองให้ปฏิบัติภารกิจที่ตั้งเป้าเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วงการฉวยจังหวะหยิบเรื่องนี้มาใช้ ถือเป็นงานที่ไม่ต้องออกแรงมากเลย เพราะตัวเองก็มีอำนาจเพียงพอในการจะทำอยู่แค่ว่าให้รายละเอียดกับเรื่องพวกนี้แค่ไหน ถ้าไม่ใส่ใจก็ปล่อยผ่านเลยตามเลยไปตามประสา
แต่ว่าหากเป็นกุนซือการตลาด เขาจะไม่ปล่อยโอกาสดีๆ หลุดลอยไปเป็นแน่ เพราะฟุตบอลโลก 4 ปีมีครั้งคนจะจดจำกันอีกยาวในฐานะผู้ปลดปล่อยและสร้างความสุขให้คนไทย ตามคอนเซ็ปต์ที่ คสช.กำลังขายอยู่ตามจอโทรทัศน์
หากทำสำเร็จงานนี้ผลงานลือลั่นกันอีกยาวสำหรับวีรกรรมของ คสช. เผลอๆ อาจมีวลีติดปากยอดฮิตในทางที่ดีกับตัวเองว่า “ได้ดูบอลโลกวันนี้ เพราะ คสช.ให้” ก็ได้ อยู่ที่ คสช.แล้วล่ะ!!
แต่เหนืออื่นใดเลยที่ คสช.จัดให้ไปรักชาติกันแบบฟรีๆ คือดูหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาคจบ กันในวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย. จัดประชานิยมลดแลกแจกแถมกันสุดๆ ใครอยากดูไปเลยฟรี
สร้างสุขให้คนไทยอีกรูปแบบหนึ่ง เข้าใจทำ แต่จะทำเป็นหรือไม่ยังต้องดูกันยาวๆ เวลาของ คสช.ยังมีอีกเยอะ ต้องรอการพิสูจน์