( 2 มิ.ย.57)
ประเทศไทยหลังวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 “ฟ้าเปลี่ยนสี”
หมดยุคทักษิณ เริ่มยุค “คสช.” !
หมดยุคแตกแยก เริ่มยุคปรองดองสมานฉันท์ !
การทำรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพไทย นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบผลสำเร็จด้วยดี สามารถตัดเส้นชีวิตอำนาจครอบงำในระบอบทักษิณขาดสะบั้นลงได้ในบัดดล เป็นที่ยินดีปรีดาของคนไทยโดยรวม ที่ต้องการเห็นประเทศไทยก้าวพ้นจากวงจรอุบาทว์ ที่ทำให้คนไทยแตกแยก แบ่งเป็นฝักฝ่าย ขัดแย้งแข็งขืน ทำร้ายทำลายกัน สามารถขับเคลื่อนตัวเองไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ คนไทยมีชีวิตที่ดีงาม
ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศชัดว่า การยึดอำนาจครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหา มิได้มุ่งเข้าครองอำนาจ โดยตั้งเป้าไว้ว่า จะทำการจัดระเบียบประเทศให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด แล้วก็จะถอนตัวออกไป เปิดทางให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยพอใจและชาวโลกยอมรับ
ทั้งนี้ “คสช.” กำหนด “ผังเดิน” (โรดแม็พ) ไว้อย่างชัดเจนว่า จะทำงานให้สำเร็จ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ภายในสามขั้นตอน ด้วย “ 3 ก้าวเดิน” คือ ก้าวที่ 1. สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ก้าวที่ 2. ดำเนินการปฏิรูป ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตั้งสภาปฏิรูป เป็นต้น และ ก้าวที่ 3. คืนอำนาจให้ประชาชน ทั้งหมดนั้นจักใช้เวลาไม่เกิน15 เดือน นับจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
โดยคาดหมายว่า คนไทย “ทุกฝ่าย” จะเข้าไปมีส่วนร่วมเป็น “เจ้าภาพ” กับ “คสช.” ทำการใหญ่เหล่านั้นให้สำเร็จ !
เรามาดูซิว่า จากวันนั้น (22 พ.ค.57) ถึงวันนี้ (2 มิ.ย. 57) เหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น โดย “คสช.”เป็น “แม่งาน” ในฐานะ “อำนาจกำหนด” ได้ดำเนินมาอย่างไร ? ซึ่งจากเหตุการณ์และเรื่องราวเหล่านี้เอง เมื่อนำมาปะติดปะต่อกันเข้า เป็นเค้าโครงเบื้องต้น เราก็จะพอคาดหมายได้ว่า “คสช.” จะสามารถนำคนไทย “ทุกฝ่าย” ก้าวเดินไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ?
ในห้วงเวลาร่วม 10 วันที่ผ่านมา สิ่งที่เราพบเห็นเป็นประจักษ์ ก็คือ
1.“คสช.” มีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาความแตกแยกของคนไทยด้วยกัน จากเดิมที (ก่อนยึดอำนาจ)ได้วางตนอยู่เหนือความขัดแย้งระหว่างขั้ว-กลุ่ม-ฝ่าย-สีต่างๆอย่างเคร่งครัด และเมื่อยึดอำนาจแล้วก็เร่งสลายขั้วด้วยการเชิญตัวบุคคลที่ตกอยู่ในวังวนของการเมืองแยกขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้ารายงานตัว เพื่อปรับ “จูน” จุดยืนมาอยู่บนฐานเดียวกัน คือผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ยกเว้นบางคนที่ยังดึงดันในจุดยืนของตนเอง
2.”คสช.” มีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของประชาชน เห็นได้จากการแก้ไขปัญหาเงินค่าจำนำข้าวของชาวนา ด้วยการสั่งให้เร่งจ่ายค่าจำนำข้าวที่ติดค้างชาวนาเกือบล้านรายในทันที “เนรมิต” บรรยากาศแห่งความสุขขึ้นในหมู่ชาวนาและคนไทยโดยรวมได้ในบัดดล
3. “คสช.”ทำตรงเป้า เดินหน้าจัดระเบียบอำนาจในวงราชการ เสริมสร้างโครงข่ายการใช้อำนาจของกลไกรัฐให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเร่งปรับย้ายข้าราชการระดับสูงจำนวนหนึ่ง ที่เคยเป็น “มือตีน” ของระบอบทักษิณโดยตรง หรือยังแสดงตัวเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนของ “คสช.”อย่างชัดเจน แล้วเลือกเลื่อนตัวบุคคลที่มีคุณวุฒิและความพร้อมมากกว่า เข้าปฏิบัติหน้าที่แทน
4. “คสช.” ทำชัดเจน มีการกำหนด “ผังเดิน” (โรดแม็พ) อย่างชัดเจน พร้อมกับพาดวาง “บันไดลง” ของ “คสช.”ไว้เรียบร้อย เกินกว่าที่ใครจะตั้งข้อกังขาแบบส่งเดชได้
สิ่งที่ได้ปรากฏชัดเจนเป็นประจักษ์แก่สายตาชาวไทยและชาวโลกแล้วนั้น โดยรวมแล้วได้รับการขานรับในทาง “บวก” จากทุกภาคส่วนของสังคมไทยเป็นอย่างดี แม้จะมีกระแสต่อต้านการรัฐประหารอยู่บ้างประปราย แต่ก็ถือว่าอยู่ในการควบคุมได้ ส่วนการแสดงท่าทีปฏิเสธหรือทาง“ลบ”ของรัฐบาลบางประเทศ เช่นสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา ฯลฯ ก็ถือว่า “ธุระไม่ใช่” ต้องบอกเขาตรงๆว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องภายในของคนไทย ที่คนไทยตัดสินใจแก้ไขปัญหาของตนเองอย่างมีเหตุมีผล ด้วยสติและปัญญา ซึ่งคนไทยทุกภาคส่วนต่างแสดงออกชัดเจนแล้วว่า ไม่ยอมรับท่าทีข่มขู่ของรัฐบาลประเทศเหล่านั้น
หรือจะให้เราตะโกนสวนออกไปว่า “เฮ้ย นี่มันเรื่องภายในของประเทศไทย คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย” ก็ยังได้ !
ถ้าเขาจะตัดความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้เป็น “ขอทาน” อีกทั้งการช่วยเหลือก็ต้องดำเนินไปอย่างฉันมิตร ทำไมจะต้องให้เราไปขึ้นกับเขา แม้กระทั่งในเรื่องของเราเอง ?
รวมทั้งต้องบอกเขาด้วยว่า ปัจจุบันนี้ เรามีเพื่อนมิตรอยู่ทั่วโลก พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามเดือดร้อน !
หรือจะตะโกนต่อไปอีกก็ได้ว่า “เราไม่ต้องการเพื่อนที่ซ้ำเติมเราในยามเดือดร้อน โว้ย !”
ก็ในเมื่อรัฐบาลในระบอบทักษิณ กำลังจะทำให้ประเทศไทยเกิดสงครามกลางเมือง คนไทยแตกแยกประเทศไทยแตกเป็นเสี่ยง ดีที่กองทัพไทยยังเป็นปึกแผ่น ตัดสินใจออกมาควบคุมสถานการณ์ จนเกิดความสงบเรียบร้อย แล้วดำเนินการจัดระเบียบประเทศใหม่ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นในหมู่คนไทย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องดีสำหรับคนไทย แต่คุณกลับไม่ยอมรับ ยังจะบังคับให้เราทำตามที่คุณสั่ง หมายความว่าคุณยังต้องการเห็นเราดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ในห้วงวิกฤติเดิมๆต่อไป ยังงั้นหรือ ?
เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้วัดใจกันชัดๆแล้วว่า คนไทยเราในยามนี้ ใครคือเพื่อนแท้ ใครคือเพื่อนเทียม !
โดยภาพรวมแล้ว ผู้เขียนพอใจ และสบายใจ ในสิ่งต่างๆที่ดี ที่กำลังเกิดขึ้น ภายใต้การนำของ “คสช.” จึงขอชูนิ้วสูงๆให้แก่ “คสช.” ทั้งในด้านความจริงใจ ความตั้งใจ และความกล้าหาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมีวิสัยทัศน์ รู้เขารู้เรา ไม่ทนงตน เช่นบอกว่า “ยิ่งมีอำนาจก็ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง” (คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
ประโยคนี้สำคัญ ถือเป็น “วาจาสิทธิ์” ที่ “คสช.” ต้องยึดมั่น !
การป้องกันมิให้เกิดความเสื่อม “ในตน” ถือเป็นเรื่องใหญ่ การหลงตัวก็เป็นทางหนึ่งที่จะนำไปสู่ความเสื่อมได้ ผู้เขียนครุ่นคิดอยู่นานว่า จะให้กำลังใจแก่ “คสช.”อะไรดี ? ท้ายสุดเมื่อนำเอาคำพังเพยที่ว่า “ตีเหล็กเมื่อร้อน” มาปรับเข้ากับ “คสช.” แล้วก็ได้ข้อความเต็มๆว่า “ตีเหล็กเมื่อร้อน คสช.ต้องแกร่งในตน” โดยยืมคำกล่าวของ สีจิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบันที่ว่า “ตีเหล็กต้องแกร่งในตน” (ต๋าเถี่ยเต๋อจื้อเซินอิ้ง)มาปรับใช้
ก็ขอให้ “คสช.” เร่ง “ตีเหล็ก”ขณะที่มีอำนาจเต็มในมือ พร้อมกันนั้นก็หมั่นปัดเป่าตัวเหตุแห่งความเสื่อมให้พ้นไปจากตนอยู่เสมอ ไม่เผลอแม้แต่นิดเดียว จึงจะคงไว้ความ “แกร่ง”ในตนตั้งแต่ต้นจนปลาย แสดงบทบาทของความเป็น “อำนาจจริง” นำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่า โดยไม่ลืมดึงเอาพลังอันยิ่งใหญ่ของมวลมหาประชาชนมาร่วมขับเคลื่อนด้วย
ทั้งนี้ ผู้เขียนซึ่งซึมซับในสิ่งที่เรียกว่า “อำนาจ” มาเป็นอย่างดี ตลอดชีวิตของการเข้ามีส่วนร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลมหาประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและ “กปปส.” กับอำนาจทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ว่าถึงที่สุดแล้วมวลมหาประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน ซึ่งเป็นอำนาจการเมืองที่ยั่งยืน และเป็นอำนาจตั้งต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ เมื่อเผชิญกับการตอบโต้แบบหมาจนตรอก “กัดไม่เลือก” ของผู้ใช้อำนาจรัฐ ก็ต้องมี “อำนาจจริง” มาสนับสนุน เพื่อเป็นหลักประกันแห่งชัยชนะ
จึงเชื่อมั่นว่า ด้วยอำนาจ “จริง” ที่ “คสช.” มีอยู่ และด้วย “อำนาจการเมือง” ของมวลมหาประชาชนเป็นฐานรองรับ ทุกอย่างที่คิดและทำ ย่อมจักปรากฏผลเป็นจริงได้ในที่สุด
ยิ่งเมื่อ “คสช.” นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีจิตใจมั่นคง มีสติตื่นรู้และความคิดที่ถูกต้อง มีวิธีการที่เหมาะสม มีการปฏิบัติที่เด็ดขาดชัดเจน ก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนไทยโดยรวม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมที่จะสนับสนุน และมีส่วนร่วมในทุกมิติของการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย
สรุปคือ ทั้ง “อำนาจจริง” ของ “คสช.” และ “อำนาจการเมือง” ของมวลมหาประชาชน จักประกอบกันเข้าเป็น “เงื่อนไขจำเป็น” ที่จะนำไปสู่ความำเร็จของการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมปรองดองสมานฉันท์ ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้ารอบด้าน และประชาชนไทยอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า !
ประเทศไทยหลังวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 “ฟ้าเปลี่ยนสี”
หมดยุคทักษิณ เริ่มยุค “คสช.” !
หมดยุคแตกแยก เริ่มยุคปรองดองสมานฉันท์ !
การทำรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพไทย นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบผลสำเร็จด้วยดี สามารถตัดเส้นชีวิตอำนาจครอบงำในระบอบทักษิณขาดสะบั้นลงได้ในบัดดล เป็นที่ยินดีปรีดาของคนไทยโดยรวม ที่ต้องการเห็นประเทศไทยก้าวพ้นจากวงจรอุบาทว์ ที่ทำให้คนไทยแตกแยก แบ่งเป็นฝักฝ่าย ขัดแย้งแข็งขืน ทำร้ายทำลายกัน สามารถขับเคลื่อนตัวเองไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ คนไทยมีชีวิตที่ดีงาม
ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศชัดว่า การยึดอำนาจครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหา มิได้มุ่งเข้าครองอำนาจ โดยตั้งเป้าไว้ว่า จะทำการจัดระเบียบประเทศให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด แล้วก็จะถอนตัวออกไป เปิดทางให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยพอใจและชาวโลกยอมรับ
ทั้งนี้ “คสช.” กำหนด “ผังเดิน” (โรดแม็พ) ไว้อย่างชัดเจนว่า จะทำงานให้สำเร็จ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ภายในสามขั้นตอน ด้วย “ 3 ก้าวเดิน” คือ ก้าวที่ 1. สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ก้าวที่ 2. ดำเนินการปฏิรูป ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตั้งสภาปฏิรูป เป็นต้น และ ก้าวที่ 3. คืนอำนาจให้ประชาชน ทั้งหมดนั้นจักใช้เวลาไม่เกิน15 เดือน นับจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
โดยคาดหมายว่า คนไทย “ทุกฝ่าย” จะเข้าไปมีส่วนร่วมเป็น “เจ้าภาพ” กับ “คสช.” ทำการใหญ่เหล่านั้นให้สำเร็จ !
เรามาดูซิว่า จากวันนั้น (22 พ.ค.57) ถึงวันนี้ (2 มิ.ย. 57) เหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น โดย “คสช.”เป็น “แม่งาน” ในฐานะ “อำนาจกำหนด” ได้ดำเนินมาอย่างไร ? ซึ่งจากเหตุการณ์และเรื่องราวเหล่านี้เอง เมื่อนำมาปะติดปะต่อกันเข้า เป็นเค้าโครงเบื้องต้น เราก็จะพอคาดหมายได้ว่า “คสช.” จะสามารถนำคนไทย “ทุกฝ่าย” ก้าวเดินไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ?
ในห้วงเวลาร่วม 10 วันที่ผ่านมา สิ่งที่เราพบเห็นเป็นประจักษ์ ก็คือ
1.“คสช.” มีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาความแตกแยกของคนไทยด้วยกัน จากเดิมที (ก่อนยึดอำนาจ)ได้วางตนอยู่เหนือความขัดแย้งระหว่างขั้ว-กลุ่ม-ฝ่าย-สีต่างๆอย่างเคร่งครัด และเมื่อยึดอำนาจแล้วก็เร่งสลายขั้วด้วยการเชิญตัวบุคคลที่ตกอยู่ในวังวนของการเมืองแยกขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้ารายงานตัว เพื่อปรับ “จูน” จุดยืนมาอยู่บนฐานเดียวกัน คือผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ยกเว้นบางคนที่ยังดึงดันในจุดยืนของตนเอง
2.”คสช.” มีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของประชาชน เห็นได้จากการแก้ไขปัญหาเงินค่าจำนำข้าวของชาวนา ด้วยการสั่งให้เร่งจ่ายค่าจำนำข้าวที่ติดค้างชาวนาเกือบล้านรายในทันที “เนรมิต” บรรยากาศแห่งความสุขขึ้นในหมู่ชาวนาและคนไทยโดยรวมได้ในบัดดล
3. “คสช.”ทำตรงเป้า เดินหน้าจัดระเบียบอำนาจในวงราชการ เสริมสร้างโครงข่ายการใช้อำนาจของกลไกรัฐให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเร่งปรับย้ายข้าราชการระดับสูงจำนวนหนึ่ง ที่เคยเป็น “มือตีน” ของระบอบทักษิณโดยตรง หรือยังแสดงตัวเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนของ “คสช.”อย่างชัดเจน แล้วเลือกเลื่อนตัวบุคคลที่มีคุณวุฒิและความพร้อมมากกว่า เข้าปฏิบัติหน้าที่แทน
4. “คสช.” ทำชัดเจน มีการกำหนด “ผังเดิน” (โรดแม็พ) อย่างชัดเจน พร้อมกับพาดวาง “บันไดลง” ของ “คสช.”ไว้เรียบร้อย เกินกว่าที่ใครจะตั้งข้อกังขาแบบส่งเดชได้
สิ่งที่ได้ปรากฏชัดเจนเป็นประจักษ์แก่สายตาชาวไทยและชาวโลกแล้วนั้น โดยรวมแล้วได้รับการขานรับในทาง “บวก” จากทุกภาคส่วนของสังคมไทยเป็นอย่างดี แม้จะมีกระแสต่อต้านการรัฐประหารอยู่บ้างประปราย แต่ก็ถือว่าอยู่ในการควบคุมได้ ส่วนการแสดงท่าทีปฏิเสธหรือทาง“ลบ”ของรัฐบาลบางประเทศ เช่นสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา ฯลฯ ก็ถือว่า “ธุระไม่ใช่” ต้องบอกเขาตรงๆว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องภายในของคนไทย ที่คนไทยตัดสินใจแก้ไขปัญหาของตนเองอย่างมีเหตุมีผล ด้วยสติและปัญญา ซึ่งคนไทยทุกภาคส่วนต่างแสดงออกชัดเจนแล้วว่า ไม่ยอมรับท่าทีข่มขู่ของรัฐบาลประเทศเหล่านั้น
หรือจะให้เราตะโกนสวนออกไปว่า “เฮ้ย นี่มันเรื่องภายในของประเทศไทย คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย” ก็ยังได้ !
ถ้าเขาจะตัดความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้เป็น “ขอทาน” อีกทั้งการช่วยเหลือก็ต้องดำเนินไปอย่างฉันมิตร ทำไมจะต้องให้เราไปขึ้นกับเขา แม้กระทั่งในเรื่องของเราเอง ?
รวมทั้งต้องบอกเขาด้วยว่า ปัจจุบันนี้ เรามีเพื่อนมิตรอยู่ทั่วโลก พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามเดือดร้อน !
หรือจะตะโกนต่อไปอีกก็ได้ว่า “เราไม่ต้องการเพื่อนที่ซ้ำเติมเราในยามเดือดร้อน โว้ย !”
ก็ในเมื่อรัฐบาลในระบอบทักษิณ กำลังจะทำให้ประเทศไทยเกิดสงครามกลางเมือง คนไทยแตกแยกประเทศไทยแตกเป็นเสี่ยง ดีที่กองทัพไทยยังเป็นปึกแผ่น ตัดสินใจออกมาควบคุมสถานการณ์ จนเกิดความสงบเรียบร้อย แล้วดำเนินการจัดระเบียบประเทศใหม่ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นในหมู่คนไทย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องดีสำหรับคนไทย แต่คุณกลับไม่ยอมรับ ยังจะบังคับให้เราทำตามที่คุณสั่ง หมายความว่าคุณยังต้องการเห็นเราดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ในห้วงวิกฤติเดิมๆต่อไป ยังงั้นหรือ ?
เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้วัดใจกันชัดๆแล้วว่า คนไทยเราในยามนี้ ใครคือเพื่อนแท้ ใครคือเพื่อนเทียม !
โดยภาพรวมแล้ว ผู้เขียนพอใจ และสบายใจ ในสิ่งต่างๆที่ดี ที่กำลังเกิดขึ้น ภายใต้การนำของ “คสช.” จึงขอชูนิ้วสูงๆให้แก่ “คสช.” ทั้งในด้านความจริงใจ ความตั้งใจ และความกล้าหาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมีวิสัยทัศน์ รู้เขารู้เรา ไม่ทนงตน เช่นบอกว่า “ยิ่งมีอำนาจก็ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง” (คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
ประโยคนี้สำคัญ ถือเป็น “วาจาสิทธิ์” ที่ “คสช.” ต้องยึดมั่น !
การป้องกันมิให้เกิดความเสื่อม “ในตน” ถือเป็นเรื่องใหญ่ การหลงตัวก็เป็นทางหนึ่งที่จะนำไปสู่ความเสื่อมได้ ผู้เขียนครุ่นคิดอยู่นานว่า จะให้กำลังใจแก่ “คสช.”อะไรดี ? ท้ายสุดเมื่อนำเอาคำพังเพยที่ว่า “ตีเหล็กเมื่อร้อน” มาปรับเข้ากับ “คสช.” แล้วก็ได้ข้อความเต็มๆว่า “ตีเหล็กเมื่อร้อน คสช.ต้องแกร่งในตน” โดยยืมคำกล่าวของ สีจิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบันที่ว่า “ตีเหล็กต้องแกร่งในตน” (ต๋าเถี่ยเต๋อจื้อเซินอิ้ง)มาปรับใช้
ก็ขอให้ “คสช.” เร่ง “ตีเหล็ก”ขณะที่มีอำนาจเต็มในมือ พร้อมกันนั้นก็หมั่นปัดเป่าตัวเหตุแห่งความเสื่อมให้พ้นไปจากตนอยู่เสมอ ไม่เผลอแม้แต่นิดเดียว จึงจะคงไว้ความ “แกร่ง”ในตนตั้งแต่ต้นจนปลาย แสดงบทบาทของความเป็น “อำนาจจริง” นำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่า โดยไม่ลืมดึงเอาพลังอันยิ่งใหญ่ของมวลมหาประชาชนมาร่วมขับเคลื่อนด้วย
ทั้งนี้ ผู้เขียนซึ่งซึมซับในสิ่งที่เรียกว่า “อำนาจ” มาเป็นอย่างดี ตลอดชีวิตของการเข้ามีส่วนร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลมหาประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและ “กปปส.” กับอำนาจทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ว่าถึงที่สุดแล้วมวลมหาประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน ซึ่งเป็นอำนาจการเมืองที่ยั่งยืน และเป็นอำนาจตั้งต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ เมื่อเผชิญกับการตอบโต้แบบหมาจนตรอก “กัดไม่เลือก” ของผู้ใช้อำนาจรัฐ ก็ต้องมี “อำนาจจริง” มาสนับสนุน เพื่อเป็นหลักประกันแห่งชัยชนะ
จึงเชื่อมั่นว่า ด้วยอำนาจ “จริง” ที่ “คสช.” มีอยู่ และด้วย “อำนาจการเมือง” ของมวลมหาประชาชนเป็นฐานรองรับ ทุกอย่างที่คิดและทำ ย่อมจักปรากฏผลเป็นจริงได้ในที่สุด
ยิ่งเมื่อ “คสช.” นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีจิตใจมั่นคง มีสติตื่นรู้และความคิดที่ถูกต้อง มีวิธีการที่เหมาะสม มีการปฏิบัติที่เด็ดขาดชัดเจน ก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนไทยโดยรวม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมที่จะสนับสนุน และมีส่วนร่วมในทุกมิติของการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย
สรุปคือ ทั้ง “อำนาจจริง” ของ “คสช.” และ “อำนาจการเมือง” ของมวลมหาประชาชน จักประกอบกันเข้าเป็น “เงื่อนไขจำเป็น” ที่จะนำไปสู่ความำเร็จของการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมปรองดองสมานฉันท์ ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้ารอบด้าน และประชาชนไทยอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า !