xs
xsm
sm
md
lg

ปากท้อง-ควบคุมราคาพลังงาน เร่งด่วนที่ คสช.ซื้อใจ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

อาจเป็นเพราะ “เรื่องอ่อนไหว” และเป็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจึงต้องเร่งทำก่อน โดยเฉพาะระดับคนชั้นกลางลงมาถึงต่ำสุดได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงมาอย่างต่อเนื่องจาก “ค่าครองชีพ” ที่สูงขึ้นจนหน้ามืด นั่นคือข้าวของแพงกันอย่างมหาโหด แม้ว่าจะพยายามรัดเข็มขัดกันจนเอวจะขาดอยู่แล้ว ประหยัดกันแค่ไหนมันก็มีรายได้ไม่พอรายจ่าย ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาที่ตามมาก็คือ “หนี้สิน” ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ

ตัวเลขหนี้สินครัวเรือน หนี้สินที่เป็นหนี้เสียเริ่มมีสถิติที่เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ จนล่าสุดทางสถาบันการเงินเริ่มเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนสะท้อนปัญหาฝืดเคือง ข้าวยากหมากแพงกระทบคนไทยส่วนใหญ่

แน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นรุนแรงในยุค “ประชานิยม” ของรัฐบาล ยิ่งลักษ ณ์ ชินวัตร ในช่วงระยะเวลาเพียงสองปีกว่าเท่านั้นเอง

ช่วงเวลาที่นโยบายประชานิยมที่รัฐบาลของ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” นำงบประมาณมาซื้อคะแนนเสียงให้กับครอบครัวตัวเอง ให้เครือข่ายพวกพ้องได้ร่ำรวย มีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร จนประเทศเจ๊งเกือบป่นปี้

ที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนรับรู้กันดีถึงพิษสงจากค่าแรงวันละ 300 บาท การลอยตัวราคาน้ำมันหลังจากต้องเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทำให้ราคาน้ำมันลดทันทีลิตรละ 7-8 บาท แต่หลังจากนั้นก็หันกลับมาเก็บตามเดิมแล้วปล่อยให้ราคาน้ำมันกลับมาขึ้นราคาใหม่ อ้างว่าเพื่อสะท้อนต้นทุน โดยเฉพาะการให้น้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นทะลุเพดานลิตร 30 บาท และนั่นคือหายนะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะภาคธุรกิจ ขนส่ง บริหาร หมวดอาหารสิ่งจำเป็นสำหรับอุปโภคบริโภคต่างก็พาเหรดขึ้นราคากันอย่างพร้อมเพรียง แต่ที่สำคัญเมื่อขึ้นราคาไปแล้วมันก็ไม่มีทางลงมาต่ำกว่าเดิมหรือเท่าเดิม เราจึงได้เห็นราคาข้าวผัดกะเพราปรับราคาขึ้นไปถึงจานละ 40-50 บาท

ขณะที่ราคาค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ที่ในช่วงหาเสียงชนะใจคนจนแทบทั้งหมด เพราะมีรายได้เพิ่มเป็นเท่าตัวทันที แต่นั่นก็เท่ากับต้นทุนเพิ่มแบบพุ่งพรวดเช่นเดียวกัน ธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจครอบครัวรายย่อยๆ เล็กๆ เจ๊งกันระนาว และที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือบรรดาราคาสินค้าได้ปรับขึ้นราคาไปรอล่วงหน้าแล้ว กลายเป็นว่ามีรายได้เพิ่มจริง แต่ไม่พอกับรายจ่ายมากกว่าเดิม

นอกจากนี้ ยังมีความผิดพลาดจากนโยบายประชานิยมอื่นๆ เช่น โครงการรถคันแรก ที่ทำให้เกิดภาวะเงินฝืด เนื่องจากชาวบ้านใช้เงินเดือน รายได้ไปผ่อนค่างวดหมด จนไม่มีเงินเหลือจับจ่าย สินค้าต่างๆ จึงขายไม่ได้ และเป็นครั้งแรกที่มีการแถลงจากเครือสหพัฒน์ที่เคยระบุว่าเป็นครั้งแรกที่ยอดขายสินค้าประเภทบะหมี่กิ่งสำเร็จรูปมียอดขายลดลง นั่นแสดงว่า มันวิกฤตจริงๆ โครงการรับจำนำข้าวที่เจ๊งไปกว่าห้าแสนล้านบาท เพิ่งเห็นกันคาตา

ล่าสุด ยังมีการปรับขึ้นราคาพลังงาน เช่น แอลพีจีภาคครัวเรือน ที่ต้องปรับขึ้นอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ต่อเนื่องไปอีกสี่ห้าเดือน การปรับขึ้นค่าไฟ ทุกอย่างทำให้ชาวบ้านหน้ามืดไปหมดแล้ว

เอาเป็นว่านั่นคือความฉิบหายวายป่วงที่ระบอบทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทิ้งเอาไว้

อย่างไรก็ดี หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน งานแรกที่ทำทันทีคือ จ่ายหนี้โครงการรับจำนำข้าวที่ค้างชาวนาทันที และหลังจากนั้น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นรอง คสช. ดูแลด้านเศรษฐกิจ ก็สั่งให้ทบทวนการปรับราคาก๊าซหุงต้มดังกล่าวลงมาทันทีอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ แม้ว่าก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวันจะยอมไฟเขียวให้ปรับราคาไปตามข้อกำหนดเดิมไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อปรับลงมาและให้ตรึงเอาไว้แบบไม่มีกำหนดจนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างด้านพลังงานอย่างถาวร

นอกจากนี้ ผลจากการแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งนาทีนี้ไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีอำนาจเต็ม ได้สั่งให้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ราคาสินค้า เน้นทั้งเรื่องปากท้อง รวมทั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาครวม ตอนนี้บรรดาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสนองกันอย่างคึกคัก ซึ่งเรื่องแก้ปัญหาแบบนี้แหละหากทำได้สำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ก็จะยิ่งสร้างความมั่นคงให้กับ คสช. เป็นการซื้อใจได้ดีที่สุด เพราะหากไม่เดือดร้อนเรื่องปากท้อง ราคาสินค้าเกษตรดีมีกำไร กินอิ่มนอนหลับ มันก็ไม่ค่อยคิดฟุ้งซ่านนัก แต่ปัญหาก็คือมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอยู่ที่ความเข้าใจ และเลือกใช้คนให้เป็นด้วย

ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีเราจะเห็นนโยบายด้านสังคม ที่เน้นเรื่องการปราบปรามยาเสพติดและอาวุธสงคราม กวาดล้างอาชญากรรมกันอย่างขนานใหญ่ ลักษณะเหมือนกับใช้ฝ่ายทหารทำงานกดดันฝ่ายตำรวจ จนเริ่มเห็นผลโดยเฉพาะอาวุธสงครามและการตามจับกุมผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เริ่มเน้นในเรื่องปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้ถ้าทำแบบเอาจริงเอาจังเห็นผลก็จะได้รับการชื่นชมอย่างท่วมท้นจากสังคม ซึ่งที่ผ่านมาในยุค ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำมาแล้ว แต่ในยุคนั้นเป็นการใช้นโยบายบังหน้าเพื่อสร้างกระแสความนิยม ฉวยโอกาสทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น และหวังว่าจะไม่ซ้ำรอยเดิม

ดังนั้น การที่ คสช. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เดินหน้าเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม การปรับโครงสร้างราคาพลังงานอย่างขนานใหญ่ให้มีความเป็นธรรม และผลประโยชน์ตกอยู่กับคนไทยส่วนใหญ่ และหากการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรหลักได้ผล รวมถึงการระดมกวาดล้างยาเสพติด อาชญากรรมจนเห็นเป็นรูปธรรม ก็จะได้ใจเพิ่มอีกบานตะไท จะสร้างความมั่นคงทำให้เป้าหมายอื่นที่วางไว้ทำได้ง่ายขึ้น !!

กำลังโหลดความคิดเห็น