แกนนำ กปปส. เผยรับบทหมาเฝ้าบ้านเกาะติดการทำงาน คสช. ชาติไม่ได้ประโยชน์พร้อมเคลื่อนไหว แจงร่วมมือไม่ชุมนุม แต่ห้ามไม่ให้คิดพัฒนาชาติไม่ได้ แนะยึดปรองดองของ คอป. ต้องรับความจริงก่อน ล้างผิดไม่รวมคดีหมิ่น-อาชญากรรมหนัก จี้ ระวังเรื่องโกงเหตุไม่มี ส.ส. คอยจับตา ไม่ฟัง ปชช. เสียศรัทธา เจอต่อต้าน
วันนี้ (1 มิ.ย.) นายถาวร เสนเนียม แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กล่าวถึงบทบาทของ กปปส. ว่า ต่อไปนี้เราจะเป็นหมาเฝ้าบ้านที่คอยสอดส่องดูแล ติดตามการทำงานของ คสช. และรัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยอำนาจของ คสช. รวมถึงการทำงานของสภานิติบัญญัติ หรือสภาปฏิรูป ที่ตั้งขึ้นโดยอำนาจของ คสช. ว่า อยู่ในแนวทางที่มวลมหาประชาชน กปปส. เรียกร้องหรือไม่ หรือประชาชน สังคม ประเทศชาติได้ประโยชน์หรือไม่ ถ้าหากว่าประชาชน สังคมไทยไม่ได้ประโยชน์ การรวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมืองก็อาจเกิดขึ้นได้ เพราะภารกิจของ กปปส. ยังไม่จบ เนื่องจากสิทธิการแสดงออกใดๆ หรือในทางการเมืองอยู่ติดกับสิทธิพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้ว แม้ช่วงนี้จะยังไม่มีรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิทธิตามธรรมชาติ และคาดว่าในอนาคตอันใกล้คงจะมีธรรมนูญการปกครองชั่วคราว หรือรัฐธรรมนูญออกมาบังคับใช้ก็เป็นได้
“ช่วงนี้เขาร้องขอให้เรายุติทางการเมืองไม่ให้ชุมนุมเกิน 5 คน เราให้ความร่วมมือเพื่อส่วนรวมเพื่อประเทศชาติ แต่ห้ามไม่ให้เราคิดที่จะพัฒนาประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ จากนี้ไปจึงต้องจับตาดู เพราะไม่แน่ใจว่าทหารเขาจะจริงใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาชาติตามที่เราเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหรือไม่ อย่างไร เมื่อมีการประกาศโรดแมปกรอบเวลาออกมาแล้วก็ต้องรอดู”
นายถาวร กล่าวว่า การที่ คสช. กำลังสร้างความสมานฉันท์โดยตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมานั้น ตนขอให้ยึดตามแนวหลักของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาคยามจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ชุด นายคณิต ณ นคร เป็นประธานที่เคยศึกษาไว้ คือต้องให้ทุกคน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คู่ขัดแย้งต่างๆ ยอมรับความจริงก่อนที่จะเข้ามาร่วมสมานฉันท์ว่า ใครทำผิดอะไร อย่างไร ไม่ใช่จับแกนนำ นปช. หรือ กปปส. มาอยู่รวมกัน แล้วเขย่า ให้มันผสมผสานกัน โดยไม่รับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มันไม่สามารถปรองดองกันได้ เพราะไม่มีการยอมรับข้อเท็จจริงว่า ใครทำผิด การนิรโทษกรรมที่จะทำก็มีคนค้านแน่ คือ ต้องไม่ใช่การนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ต้องยกเว้นไม่นิรโทษฐานความผิดสำคัญคือ 1. กรณีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและสถาบันฯ 2. ความผิดฐานก่ออาชญากรรม ปล้น ฆ่า เผา ดังนั้น ก่อนที่จะนิรโทษกรรมต้องค้นหาความจริงให้ได้ก่อนว่า ใครถูก ใครผิด อะไร อย่างไร เรื่องคดีทางการเมืองก็ว่าแยกกันไป จะช้าก็ไม่เป็นไปเมื่อนำมาสู่ความสมานฉันท์
“ข้อที่ คสช. ต้องพึงระวังมากที่สุด คือ เวลานี้ไม่มี ส.ส. คอยตรวจสอบการบริหาร ดังนั้น การส่อทุจริตใดๆ ใน คสช. อย่าให้มีขึ้นโดยเด็ดขาด เพราะถ้ามีขึ้นเมื่อไหร่ ประชาชนกระแสสังคมที่ขณะนี้ชื่นชมทหารก็จะขาดศรัทธา คสช. ทันทีและจะออกมาเคลื่อนไหว เพราะในช่วง 6 เดือนกว่าที่ กปปส. ออกมาเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง ได้ปลุกให้ประชาชนตื่นรู้ และมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบทางการเมืองในระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือ ได้เห็นความชั่วของระบบราชการ และระบบการเมืองที่ทุจริต คอร์รัปชัน ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และรู้เท่าทันมากขึ้น หาก คสช. ไม่ระมัดระวัง ตนมั่นใจว่าสิ่งที่ คสช. กำลังทำจะไม่ประสบผลสำเร็จตามที่อ้างและจะถูกประชาชนออกมาเดินขับไล่แทน”