“อภิสิทธิ์” หวัง คสช.ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไม่นาน ห่วงเกิดความอึดอัดสะสม ดักคอตั้งศูนย์ปรองดองเน้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่าใช้เป็นเวทีต่อรองผลประโยชน์นำไปสู่การนิรโทษกรรมล้างผิดคนเลวจะก่อให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เสนอดึงภาคส่วนอื่นร่วมปฏิรูปประเทศ ส่วนการปฏิรูปตำรวจควรยึดตามข้อเสนอ “วสิษฐ” ฝากให้ดูแลโครงการประมูลต่างๆ ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวทางการบริหารประเทศและการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช. ) ว่าขณะนี้ยังมองไม่เห็นภาพชัดจนกว่าจะมีธรรมนูญการปกครอง และการปรับโครงสร้างว่าใครรับผิดชอบด้านไหน แต่สิ่งที่ทำไปแล้วบางเรื่องคงเป็นการตอบโจทย์ของเหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่น การเร่งจ่ายเงินให้ชาวนา การใช้อำนาจเพื่อควบคุมสถานการณ์ในขณะนี้น่าจะเป็นช่วงที่จะคลี่คลายลงในลำดับหนึ่ง จึงมองไม่เห็นว่าจะใช้อำนาจในลักษณะนี้ไปได้ยาวนานแค่ไหน เพราะสภาพสังคมเป็นไปได้ยาก ส่วนจุดที่จะมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ คือมวลชน กับสภาพความอึดอัดของข้อมูลข่าวสารซึ่งต้องจับตาดู บางเรื่องที่เริ่มปรากฏเช่นการตั้งศูนย์ปรองดอง ที่ยังไม่ชัดเจนว่ามีการตั้งโจทย์อย่างไร
“ผมยืนยันว่าหากมีการตั้งโจทย์ว่าการปรองดองเป็นเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ทุกฝ่าย ก็จะเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิด จะกลายเป็นปัญหาให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น โดยเฉพาะที่ผ่านมาหลายครั้ง มีการนำความปรองดองไปใช้ แล้วนำไปสู่การนิรโทษกรรม แต่หากพยายามเอาแนวหลักคิดของทุกฝ่าย ที่เป็นเรื่องของประโยชน์ส่วนรวมมาประสานก็จะเป็นทางออกได้ ผมหวังว่า คสช.จะไม่นำไปสู่การนิรโทษกรรม เพราะหากถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นตัวนำไปสู่ความวุ่นวาย การจะสร้างความชอบธรรมให้กับทุกฝ่ายคือทำให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย ต้องยอมรับหรือรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองที่ทำไป ไม่ว่าจะเป็นสีไหนหรือ เป็นใครต้องยอมรับการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า คสช.ไม่ควรลืมว่ามีหลายประเด็นที่เป็นการขับเคลื่อนของมวลชนมาก่อนหน้านี้ เช่นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องมีการปฏิรูป เพื่อทำให้เกิดเป็นรูปธรรมออกมาว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น ข้อเสนอหลายฝ่ายมีพร้อมที่จะให้อยู่แล้วทั้งภาคประชาชนและพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ เรามีข้อเสนออยู่แล้ว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกที่แถลงการณ์ยึดอำนาจไม่มีการพูดถึงการทุจริตคอร์รัปชั่นแต่เป็นปัญหาที่อยู่ในใจคนไทยมากที่สุด ก่อนที่จะเกิดวิกฤตทางการเมือง พวกตนเป็นนักการเมืองกลุ่มแรกที่ยอมรับว่าประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวพรรคการเมืองและนักการเมือง ดังนั้น คสช.ต้องสร้างระบบการเมืองที่ดีขึ้นทำให้พรรคการเมืองและนักการเมืองมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น หากจะต้องดึงพรรคการเมืองและนักการเมืองเข้าไป ตนไม่แน่ใจว่าประชาชนจะยอมรับหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้ คสช.มีอำนาจเต็มอยู่แล้ว ถือเป็นโอกาสที่จะทำให้บ้านเมืองไปในทิศทางที่ดีขึ้น คสช.ควรทำอะไรบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หัวหน้า คสช.ได้ประกาศแล้วว่าต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติในการปฏิรูป จากนี้ต้องทำให้เป็นรูปธรรมเท่านั้น รายชื่อคณะที่ปรึกษาต่างๆ ที่ออกมาหลายคนคาดการณ์ได้อยู่ว่าเป็นบุคคลที่คงจะสามารถให้คำแนะนำปรึกษาได้ แต่อย่าลืมว่าการบริหารจริงไม่ได้อยู่ที่คณะที่ปรึกษา การตัดสินใจต่างๆ ยังต้องพึ่ง คสช.และข้าราชการอยู่ บางเรื่องข้าราชการคงทำงานได้ ในการบริหารจัดการโครงการตามปกติ และอาจจะทำได้ดีหากไม่มีการเมืองเข้าไปแทรกแซงผลประโยชน์ แต่งานปฏิรูปคงต้องพึ่งภาคส่วนอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการ หลายเรืองที่ประชาชนคาดหวังให้มีการปฏิรูปต้องมีการลดทอน อำนาจรัฐจะหวังพึ่งให้ คสช. และราชการคิดเองคงไม่ได้
ส่วนที่ คสช.มีอำนาจเต็มทั้งนิติบัญญัติและตุลาการ ที่มีบางคดีต้องขึ้นศาลทหาร จะดำรงสภาพไปนานแค่ไหนจนกว่าจะเกิดการยอมรับ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละฝ่ายแต่สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนด ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่ากี่วัน หากมีความสงบเรียบร้อยผู้นำมวลชนไม่ออกมาเคื่อนไหวก็จะเร็วได้ เพราะการอยู่ในสภาพเช่นนี้จะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดสะสมโดยเฉพาะปัญหาแรกคือสื่อสารมวลชน
ส่วนแนวทางการปฏิรูปตำรวจ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องการทำให้มีความใกล้ชิด ประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ทำให้องค์กรใหญ่ขึ้นหรือมีการรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น การบอกว่าจะให้องค์กรเล็กลง แต่กลับมีการเสนอให้มีการตั้งเป็นกระทรวงนั้น ตนก็ยังสับสนอยู่เพราะบอกว่าจะมีการกระจายอำนาจ แต่กลับมีการเสนอเรื่องตั่งกระทรวงขึ้นมา ซึ่งจะทำให้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง การบริหารงานจะทำได้ยาก ควรยึดข้อเสนอของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรอง ผบ.ตร.น่าจะเป็นแนวทางที่ดีสุดหากมีการปรูปควรนำแนวทางนี้มาใช้
ส่วนที่ พล.อ.อ.ประจินต์ จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้า คสช.ออกมากล่าวว่าจะเดินหน้าโครงการต่างๆ เช่น โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้าน โดยจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการทำแผนแม่บท นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทคงทำไม่ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปแล้วรวมถึงเงินกู้ 3.5 แสนล้านที่หมดอายุไปแล้ว แต่การหยิบโครงการที่เป็นประโยชน์ มาใช้ในระบบงบประมาณ เป็นสิ่งที่เขาต้องทำ ซึ่งตนขอฝากเป็นการบ้านว่า ในภาวะที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบอะไรที่เป็นสิทธิของประชาชนในเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือเรื่องต่างๆ คสช.จะให้โอกาสกับประชาชนอย่างไร รวมถึงตัวระบบงบประมาณจะทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงราคาและการประมูลที่โปร่งใส ซึ่งต้องระวัง อย่าให้มีปัญหาเกิดขึ้น