xs
xsm
sm
md
lg

“ปฏิรูปตำรวจ” ยุครัฐบาล คสช. แค่เคาะกะลา “ขายฝัน” (อีกที)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


สน.พระอาทิตย์

สัญญาณ “ติดเบรก” ก็ดูจะยังคลุมเครือและยังไม่มีความชัดเจนว่า “ปฏิรูปตำรวจ” ถูกพับแผนทิ้งออกไปจากการปฏิรูปทุกๆ ด้านตามโรดแมปรัฐบาล ตามถ้อยแถลง “บิ๊กตู่” ที่โยนให้รัฐบาลหน้าเป็นผู้ดำเนินการ หรือยังคงเดินหน้าศึกษาความเป็นไปได้ ศึกษาแนวทางที่เหมาะสม ในการปรับเปลี่ยน “องค์กรตำรวจ” ให้ตรงตามความต้องการของประชาชนกันแน่??

ดูท่า “ปฏิรูปตำรวจ” ยุค “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กุมบังเหียนผู้นำรัฐบาล ที่ขึงขังจริงจัง ประกาศเสียงดังฟังชัดต้องเปลี่ยนแปลงต้นธารกระบวนการยุติธรรม ให้ทำหน้าที่เป็นที่พึงประชาชนอย่างแท้จริง ทำไปทำมากำลังเข้าสำนวน “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”

ยิ่งตีความคำพูด “บิ๊กตู่” กลางวงประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งว่า “วันนี้ผมปฏิรูปไปได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ อีก 90 เปอร์เซ็นต์ ให้เป็นหน้าที่รัฐบาลหน้า โดยเฉพาะการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจจะรื้อจะปรับอย่างไรบอกรัฐบาลหน้า และฝากบอกพี่ๆ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เสนอมาด้วย ถ้าให้รัฐบาลผมทำวันนี้เรื่องปฏิรูปจะเดินหน้าได้อย่างไร”

เหมือนเป็นการส่งสัญญาณ “ติดเบรก” การปฏิรูปตำรวจ ที่สังคมคาดหวังว่าน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หลังจาก “เสียความรู้สึก” ต่อการทำงานของตำรวจในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายถูกตั้งคำถาม “เลือกปฏิบัติ” หรือ “สองมาตรฐาน” จนเป็นชนวนหนึ่งในการสร้างความแตกแยก แตกความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง

แต่สัญญาณ “ติดเบรก” ก็ดูจะยังคลุมเครือและยังไม่มีความชัดเจนว่า “ปฏิรูปตำรวจ” ถูกพับแผนทิ้งออกไปจากการปฏิรูปทุกๆด้านตามโรดแมปรัฐบาล ตามถ้อยแถลง “บิ๊กตู่” ที่โยนให้รัฐบาลหน้าเป็นผู้ดำเนินการ หรือ ยังคงเดินหน้าศึกษาความเป็นไปได้ ศึกษาแนวทางที่เหมาะสม ในการปรับเปลี่ยน “องค์กรตำรวจ” ให้ตรงตามความต้องการของประชาชน กันแน่??

ฟากหนึ่งก็ดูเหมือนจะ “ติดเบรก” แต่อีกฟากหนึ่งก็มีความเคลื่อนไหวในการขับเคลื่อนการปฏิรูปตำรวจ เพราะ “เทียนฉาย กีระนันทน์” ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนปฏิรูปกิจการตำรวจ ถึง 17 คน มีตัวเอง และ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ

“ธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์” อดีตรองประธานศาลปกครอง เป็นประธานกรรมการ ร่วมกับผู้แทนกระทรวงมหาดไทย, “ธวัชชัย ไทยเขียว” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม, “พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน” ผบช.ภ.1, อัยการสูงสุด หรือผู้แทน, เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม หรือผู้แทน, “เดชอุดม ไกรฤทธิ์” นายกสภาทนายความ, “พล.ต.อ.ชาญชิต เพียรเลิศ” อดีตรอง ผบ.ตร., “พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร” ที่ปรึกษา (สบ 10), “สมบัติ ธำรงธัญวงศ์” ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการเมือง, “พงศ์โพยม วาศภูติ” ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปท้องถิ่น, “เข็มชัย ชุติวงศ์” กมธ.ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม, “สังศิต พิริยะรังสรรค์” รองประธาน กมธ.ปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริต, “ไพโรจน์ พรหมสาส์น” สปช.ด้านการปกครองท้องถิ่น และ “วันชัย สอนศิริ” กมธ.ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นกรรมการ

ตามคำสั่งกำหนดหน้าที่ คณะกรรมการชุดนี้ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำแผนปฏิรูปกิจการตำรวจในประเด็นหรือในด้านต่างๆ รวมถึงการจัดองค์กรและโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และภารกิจของกิจการตำรวจ การกำหนดกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจ การบริหารราชการ และการพัฒนาคุณภาพข้าราชการตำรวจ เพื่อให้กิจการตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและชอบด้วยหลักธรรมาภิบาล

การดำเนินการให้ใช้พื้นฐานแนวคิดและผลการศึกษาจากรายงานการปฏิรูปกิจการ ตำรวจของคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รายงานของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ และรายงานกับข้อมูลจากแหล่งอื่นมาเป็นฐานในการพิจารณาด้วย แต่งตั้งคณะอนุกรรมการโดยความเห็นชอบของประธาน สปช.เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมอบหมาย และ จัดทำรายงานแผนปฏิรูปตำรวจฉบับสมบูรณ์เสนอต่อประธาน สปช.

หากดูจากบทบาทหน้าที่ ตามที่ “ประธาน สนช.” กำหนดให้คณะกรรมการจัดทำแผนปฏิรูปกิจการตำรวจดำเนินการ ถือว่าเป็นหลัก เป็นฐาน ที่มองเห็นอนาคตการปรับเปลี่ยนองค์กรตำรวจให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ประชาชนต้องการได้อย่างแน่นอน ตรงตาม “ทฤษฏี” ทุกอย่าง

แต่ “การปฏิบัติ” จะสามารถทำได้หรือไม่ คือโจทย์ใหญ่ที่ยากจะเดาคำตอบ เพราะหากย้อนไปดูช่วงที่คณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปโครงสร้าง อำนาจหน้าที่และกระบวนการทำงานตำรวจเพื่อประโยชน์ของประชาชน ที่มี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป เป็น ประธานคณะอนุฯ ศึกษาเรื่องการ “ปฏิรูปตำรวจ” ก็ดูจะสะดุด ไม่ไหลลื่น และมีความขัดแย้งในการหาข้อสรุปว่าควรปฏิรูปตำรวจแค่ไหน อย่างไร

ถึงขนาด “พล.ร.อ.พะจุณณ์” บอกตอนหนึ่งในการชี้แจงผลการศึกษาของคณะอนุฯ ต่อวงประชุม สปช. ที่มี “เทียนฉาย” เป็นประธาน วาระการพิจารณารายงานการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า

“กรณี พล.ต.ท.อาจิณต์ โชติวงศ์ รองประธานคณะอนุ กมธ.ฯ และอดีตผู้ช่วย ผบ.ตร.เสนอให้ตัดมาตรา 282 (8) การปฎิรูปตำรวจ โดยให้แยกงานสอบสวนออกจาก สตช.นั้น อยากจะบอกว่าขอให้คณะวิจัยเรื่องความเป็นไปได้โอนภารกิจของ สตช. ขอเงิน พล.ต.ท.อาจิณต์ คืนไปด้วย เพราะในการศึกษาดังกล่าว พล.ต.ท.อาจิณต์ได้ทำการศึกษาไว้ว่า ให้แยกงานสอบสวนออกจากสตช. แต่มาขณะนี้ตัวเองกลับไม่เข้าใจผลการศึกษา รวมทั้ง พล.ต.ท.อาจิณต์เคยบอกไว้ในการสัมมนาหัวข้อ ตำรวจไทยกับความคาดหวังของสังคมไทยว่า วงการตำรวจต้องปฏิวัติอย่างเดียว แต่มาวันนี้กลับเสนอไม่ให้ปฏิรูปตำรวจ นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่าเวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน”

บ่งบอกชัดเจนว่า การปฏิรูปตำรวจร้อนแรง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะปรับเปลี่ยนองค์กรสีกากี เพราะหากยึดโยงตามคำที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ระบุ พล.ต.ท.อาจิณต์ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจ ก็สะท้อนชัดเจนว่าตำรวจระดับสูงส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรือปัจจุบัน ต่างไม่เห็นด้วยต่อการปฏิรูปตำรวจ โดยเฉพาะการแยกการสอบสวนออกจาก สตช. ซึ่งถือเป็นประเด็นหลักในการปฏิรูป

และเมื่อหันกลับมาดูรายชื่อคณะกรรมการจัดทำแผนปฏิรูปกิจการตำรวจ ที่มี “ตำรวจ” ร่วมอยู่ด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.ชัยยง หรือ พล.ต.ท.อำนวย ก็มีสายสัมพันธ์ที่ไม่ต่างจาก พล.ต.ท.อาจิณต์ ที่ใกล้ชิดอดีตตำรวจที่มีสายสัมพันธ์กับ “พี่ใหญ่” แห่งบ้านบิ๊กบราเธอร์ ดูท่าแนวโน้มการจะผ่าตัดองค์กรสีกากีแบบให้ตรงตามความต้องการของประชาชนคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดีไม่ดีบทสรุปที่จะออกมาก็คงจะไม่ต่างจากคณะอนุ กมธ. ชุด พล.ร.อ.พะจุณณ์ สะท้อนภาพออกมาเช่นกัน

เห็นทีงานนี้ “ปฏิรูปตำรวจ” ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยุคท็อปบูทเรืองอำนาจ คงเป็นแค่เพียงการ “ขายฝัน” อันสวยหรูให้ประชาชน สุดท้ายก็ต้อง “ฝันค้าง” รอความหวังลมๆ แล้งๆ กันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น