ผบ.กกล.รส.ประชุมหน่วยความมั่นคง แจง 4 ภารกิจ รวบพวกดื้อไม่มารายงานตัว พวกติดอาวุธ ระวังเงื่อนไขใหม่-ควบคุมสื่อไม่ให้ปลุกปั่น-ตั้งด่านตรวจ-ทำความเข้าใจหมู่บ้าน ยัน กม.ใช้เน้นแกนนำ ฟันเด็ดขาดพวกป่วน เผย “ประยุทธ์” ไม่ยอมพวกใช้อาวุธฆ่าไทยด้วยกัน ใช้แผนเบาไปหาหนักสอนพวกต้าน รับยังเปิดเผยไม่ได้คุมใครอยู่บ้าง ยันรู้หมดใครถูกจ้างใครมาเอง ลั่นใครปล่อยไปแล้วป่วนซ้ำเจอมาตรการเด็ดขาด ขออยู่นิ่งๆ ยังไม่ปล่อยโจกแดง โอ่อยู่ดีกินดี ห่วงชาวบ้านเสพข่าวลือ
วันที่ 27 พ.ค. ที่กองทัพภาคที่ 1 เมื่อเวลา 09.30 น. พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่1ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ได้เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการปฏิบัติและข้อเน้นย้ำนโยบายสำคัญ โดยมีทุกส่วนราชการเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง เช่น พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.พิสิทธิ์ สิทธิสาร แม่ทัพน้อยภาคที่ 1 พล.ท.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) ตลอดจนผู้บัญชาการระดับกองพล ผู้บังคับหน่วย และผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9
มีรายงานว่า สำหรับเนื้อหาการประชุมครั้งนี้ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้จัดตั้ง กกล.รส.ประกอบด้วย กำลังของกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการประคับประคองบ้านเมืองให้ปกติ พร้อมก้าวสู่กระบวนการในการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนการเลือกตั้งอันจะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดย พล.ท.ธีรชัยได้เน้นย้ำกับเจ้าหน้าที่ กกล.รส.4 ประเด็น คือ 1. การควบคุมบุคคล ติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายที่ไม่เข้ารายงานตัว กองกำลังติดอาวุธ และแกนนำปลุกระดมมวลชนทุกคน การเข้าตรวจค้นแหล่งซุกซ่อนอาวุธสงคราม วัตถุระเบิด อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยระมัดระวังการสร้างเงื่อนไขใหม่ เช่น การควบคุมตัวญาติพี่น้องซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ กรณีที่ไม่สารถควบคุมตัวเป้าหมายได้ 2. การควบคุมสื่อทั้ง 5 ประเภทดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้มีการใช้สื่อยุยงปลุกปั่น ชักชวนเข้าร่วมชุมชน และหมิ่นสถาบัน 3. ด่านตรวจในพื้นที่รับผิดชอบเน้นการค้นอาวุธ วัตถุระเบิด สกัดมวลชนเข้ามาในพื้นที่ กทม. 4.ควบคุมพื้นที่ถึงระดับหมู่บ้าน ทำความเข้าใจกับประชาชนในวัตถุประสงค์ 10 ประการ นโยบายเร่งด่วนอีก 5 ประการ โดยทำควบคู่กับนโยบายเร่งด่วน 7 ประการ และขั้นตอนการดำเนินการของ คสช.เป็น 3 ระยะ ด้วยการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบอย่างกว้างขวาง
สำหรับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุมต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เน้นควบคุมแกนนำ เจรจาทำความเข้าใจ พร้อมทั้งเข้าวางกำลังก่อนการชุมนุม โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการควบคุมพื้นที่ และคลี่คลายสถานการณ์ หลีกเลี่ยงความรุนแรง ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการบาดเจ็บ สูญเสียต่อประชาชน ในส่วนของมณฑลทหารบกจังหวัดทหารบกต้องเป็นหน่วยหลักในการบูรณการกำลังทุกภาคส่วน ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และภาคเอกชนในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ พร้อมประสานการปฏิบัติกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรอย่างใกล้ชิด กำลังตำรวจเป็นกำลังที่สำคัญ เพราะเป็นหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ใกล้ชิดกับประชาชน รู้ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นโจร ขอให้ประสานงานกับหน่วยทหารในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ความปลอดภัยกับประชนทุกกลุ่มเท่าเทียมกัน สำหรับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรจังหวัด (กอ.รมน.จว.) ขอให้ใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่จากทุกส่วนราชการนำมวลชนมาสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ถึงเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการของ คสช.
ทั้งนี้ หวังว่าจะได้เน้นความร่วมมือความสามัคคีจากทุกส่วนราชการ และคืนความสงบสุขให้กับประชาชน นำความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ ขอให้ทุ่มเทเสียสละปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่เลือกฝ่าย และอยากให้นำความมุ่งหวังไปแจ้งต่อผู้บังคับหน่วย และกำลังพลในสังกัดให้เข้าใจ หากมีผู้ใดขัดขวาง ละเว้น หรือให้การสนับสนนุนกลุ่มบุคคลที่เสียประโยชน์ อันจะก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด และรายงานให้ คสช.ได้รับทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
ภายหลังจากการประชุม แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เชิญกองกำลังรักษาความสงบทุกกองทัพภาคเพื่อประชุมรับทราบแนวทางในการปฏิบัติที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่ได้เน้นย้ำคือการรักษาความสงบ เพื่อที่จะให้หัวหน้า คสช.ดำเนินงานบริหารประเทศได้อย่างเร่งด่วน สะดวก ราบรื่น พร้อมทั้งกำชับให้กองกำลังทุกกองทัพภาค รวมถึง กทม. ติดตามจับกุมกลุ่มคนที่ติดอาวุธให้ได้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาก็จับกองกำลังอาวุธได้มากพอสมควร โดยที่เขาเตรียมที่จะเข้ามาก่อเหตุกับคนไทยด้วยกันเองซึ่งหัวหน้า คสช.ยอมไม่ได้ โดยจะใช้กองกำลังตำรวจทุกพื้นที่และทุกภาค เป็นส่วนแรกที่จะเข้าไปดำเนินการ และให้ทหารเป็นผู้สนับสนุน พร้อมทั้งประสานงานกันอย่างแน่นแฟ้นในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
พล.ท.ธีรชัยกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้าน คสช. คือกลุ่มแรกที่ยังไม่เข้าใจ ทาง คสช.จะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่สะสมกำลังอาวุธสงคราม กลุ่มนี้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด สำหรับในส่วนที่มีประชาชนนำสิ่งของมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติ โดยปะปนกับสิ่งของอันตรายนั้น ตนได้สั่งการไปยังทหารว่าไม่ต้องระแวง สามารถตรวจสอบได้ หากจับได้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ส่วนเรื่องการเรียกมารายงานตัวจะดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งจับกุมดำเนินคดี ส่วนคนที่มารายงานตัวแล้วก็อาจจะเข้าไปพูดคุยเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจก่อนที่จะปล่อยกลับบ้าน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขของผู้ที่ถูกควบคุมตัว หรือผู้ที่มารายงานตัว ในส่วนของ คสช.ก็มีการทยอยปล่อยตัวกับคนที่ถูกควบคุมตัว แต่ยืนยันว่าคนที่ถูกควบคุมตัวก็สบายดี ทั้งนี้กลุ่มที่ออกมาต่อต้าน ทาง คสช.รู้หมดแล้วว่าใครถูกจ้าง หรือมาด้วยความสมัครใจ อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่ ส่วนคนที่ยังไม่เข้าใจก็ได้บอกตำรวจไปว่าให้เชิญตัวมาพูดคุย สำหรับที่คนปล่อยตัวไปแล้วได้มีการได้มีการเซ็นรับรองว่าปล่อยตัวแล้วจะไม่ไปปลุกปั่น หรือไปนำมวลชนมาชุมนุม และถ้าหากฝ่าฝืนก็จะมีมาตรการดำเนินการต่อคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ทุกคนพร้อมที่จะรับเงื่อนไขดังกล่าว
“ทุกคนยอมรับในเงื่อนไข ทั้งคนที่เข้าใจ และยังไม่เข้าใจ ซึ่งทางหัวหน้า คสช. ได้เน้นย้ำ ว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้าใจหรือยังไม่เข้าใจในเจตนาของ คสช. ก็อยากให้อยู่นิ่งๆ เอาไว้ก่อน ให้รอฟังและดูความตั้งใจการทำงานของ คสช. เขาก็รับปาก ในส่วนของแกนนำ นปช.ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว แต่ยืนยันว่าเขามีความเป็นอยู่ที่ดี กินได้ นอนหลับ ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมีการปล่อยตัวออกมา แต่คนที่คดีติดตัวจะต้องถูกดำเนินคดีต่อ สำหรับคนที่ถืออาวุธสงครามถือว่าเป็นโจร ก็ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ในส่วนของทหารเองมีหน้าที่ในการป้องกันตัว แต่ได้กำชับไปว่าจะไม่ให้ใช้อาวุธกระทำกับใครก่อน สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือประชาชนถูกยุยงปลุกปั่นผ่านสื่อต่างๆ อยากให้ใช้สติในการเสพข้อมูลข่าวสาร เพราะมีข่าวลือเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ในส่วนของการควบคุมสื่อเป็นการให้ติดตามดูพฤติกรรม ไม่ได้สั่งให้มีการปิดสื่อ และขออย่าเสนอข่าวให้เกิดความแตกแยก” พล.ท.ธีรชัยกล่าว
วันที่ 27 พ.ค. ที่กองทัพภาคที่ 1 เมื่อเวลา 09.30 น. พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่1ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ได้เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการปฏิบัติและข้อเน้นย้ำนโยบายสำคัญ โดยมีทุกส่วนราชการเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง เช่น พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.พิสิทธิ์ สิทธิสาร แม่ทัพน้อยภาคที่ 1 พล.ท.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) ตลอดจนผู้บัญชาการระดับกองพล ผู้บังคับหน่วย และผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9
มีรายงานว่า สำหรับเนื้อหาการประชุมครั้งนี้ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้จัดตั้ง กกล.รส.ประกอบด้วย กำลังของกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการประคับประคองบ้านเมืองให้ปกติ พร้อมก้าวสู่กระบวนการในการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนการเลือกตั้งอันจะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดย พล.ท.ธีรชัยได้เน้นย้ำกับเจ้าหน้าที่ กกล.รส.4 ประเด็น คือ 1. การควบคุมบุคคล ติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายที่ไม่เข้ารายงานตัว กองกำลังติดอาวุธ และแกนนำปลุกระดมมวลชนทุกคน การเข้าตรวจค้นแหล่งซุกซ่อนอาวุธสงคราม วัตถุระเบิด อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยระมัดระวังการสร้างเงื่อนไขใหม่ เช่น การควบคุมตัวญาติพี่น้องซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ กรณีที่ไม่สารถควบคุมตัวเป้าหมายได้ 2. การควบคุมสื่อทั้ง 5 ประเภทดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้มีการใช้สื่อยุยงปลุกปั่น ชักชวนเข้าร่วมชุมชน และหมิ่นสถาบัน 3. ด่านตรวจในพื้นที่รับผิดชอบเน้นการค้นอาวุธ วัตถุระเบิด สกัดมวลชนเข้ามาในพื้นที่ กทม. 4.ควบคุมพื้นที่ถึงระดับหมู่บ้าน ทำความเข้าใจกับประชาชนในวัตถุประสงค์ 10 ประการ นโยบายเร่งด่วนอีก 5 ประการ โดยทำควบคู่กับนโยบายเร่งด่วน 7 ประการ และขั้นตอนการดำเนินการของ คสช.เป็น 3 ระยะ ด้วยการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบอย่างกว้างขวาง
สำหรับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุมต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เน้นควบคุมแกนนำ เจรจาทำความเข้าใจ พร้อมทั้งเข้าวางกำลังก่อนการชุมนุม โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการควบคุมพื้นที่ และคลี่คลายสถานการณ์ หลีกเลี่ยงความรุนแรง ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการบาดเจ็บ สูญเสียต่อประชาชน ในส่วนของมณฑลทหารบกจังหวัดทหารบกต้องเป็นหน่วยหลักในการบูรณการกำลังทุกภาคส่วน ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และภาคเอกชนในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ พร้อมประสานการปฏิบัติกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรอย่างใกล้ชิด กำลังตำรวจเป็นกำลังที่สำคัญ เพราะเป็นหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ใกล้ชิดกับประชาชน รู้ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นโจร ขอให้ประสานงานกับหน่วยทหารในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ความปลอดภัยกับประชนทุกกลุ่มเท่าเทียมกัน สำหรับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรจังหวัด (กอ.รมน.จว.) ขอให้ใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่จากทุกส่วนราชการนำมวลชนมาสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ถึงเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการของ คสช.
ทั้งนี้ หวังว่าจะได้เน้นความร่วมมือความสามัคคีจากทุกส่วนราชการ และคืนความสงบสุขให้กับประชาชน นำความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ ขอให้ทุ่มเทเสียสละปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่เลือกฝ่าย และอยากให้นำความมุ่งหวังไปแจ้งต่อผู้บังคับหน่วย และกำลังพลในสังกัดให้เข้าใจ หากมีผู้ใดขัดขวาง ละเว้น หรือให้การสนับสนนุนกลุ่มบุคคลที่เสียประโยชน์ อันจะก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด และรายงานให้ คสช.ได้รับทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
ภายหลังจากการประชุม แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เชิญกองกำลังรักษาความสงบทุกกองทัพภาคเพื่อประชุมรับทราบแนวทางในการปฏิบัติที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่ได้เน้นย้ำคือการรักษาความสงบ เพื่อที่จะให้หัวหน้า คสช.ดำเนินงานบริหารประเทศได้อย่างเร่งด่วน สะดวก ราบรื่น พร้อมทั้งกำชับให้กองกำลังทุกกองทัพภาค รวมถึง กทม. ติดตามจับกุมกลุ่มคนที่ติดอาวุธให้ได้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาก็จับกองกำลังอาวุธได้มากพอสมควร โดยที่เขาเตรียมที่จะเข้ามาก่อเหตุกับคนไทยด้วยกันเองซึ่งหัวหน้า คสช.ยอมไม่ได้ โดยจะใช้กองกำลังตำรวจทุกพื้นที่และทุกภาค เป็นส่วนแรกที่จะเข้าไปดำเนินการ และให้ทหารเป็นผู้สนับสนุน พร้อมทั้งประสานงานกันอย่างแน่นแฟ้นในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
พล.ท.ธีรชัยกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้าน คสช. คือกลุ่มแรกที่ยังไม่เข้าใจ ทาง คสช.จะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่สะสมกำลังอาวุธสงคราม กลุ่มนี้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด สำหรับในส่วนที่มีประชาชนนำสิ่งของมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติ โดยปะปนกับสิ่งของอันตรายนั้น ตนได้สั่งการไปยังทหารว่าไม่ต้องระแวง สามารถตรวจสอบได้ หากจับได้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ส่วนเรื่องการเรียกมารายงานตัวจะดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งจับกุมดำเนินคดี ส่วนคนที่มารายงานตัวแล้วก็อาจจะเข้าไปพูดคุยเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจก่อนที่จะปล่อยกลับบ้าน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขของผู้ที่ถูกควบคุมตัว หรือผู้ที่มารายงานตัว ในส่วนของ คสช.ก็มีการทยอยปล่อยตัวกับคนที่ถูกควบคุมตัว แต่ยืนยันว่าคนที่ถูกควบคุมตัวก็สบายดี ทั้งนี้กลุ่มที่ออกมาต่อต้าน ทาง คสช.รู้หมดแล้วว่าใครถูกจ้าง หรือมาด้วยความสมัครใจ อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่ ส่วนคนที่ยังไม่เข้าใจก็ได้บอกตำรวจไปว่าให้เชิญตัวมาพูดคุย สำหรับที่คนปล่อยตัวไปแล้วได้มีการได้มีการเซ็นรับรองว่าปล่อยตัวแล้วจะไม่ไปปลุกปั่น หรือไปนำมวลชนมาชุมนุม และถ้าหากฝ่าฝืนก็จะมีมาตรการดำเนินการต่อคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ทุกคนพร้อมที่จะรับเงื่อนไขดังกล่าว
“ทุกคนยอมรับในเงื่อนไข ทั้งคนที่เข้าใจ และยังไม่เข้าใจ ซึ่งทางหัวหน้า คสช. ได้เน้นย้ำ ว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้าใจหรือยังไม่เข้าใจในเจตนาของ คสช. ก็อยากให้อยู่นิ่งๆ เอาไว้ก่อน ให้รอฟังและดูความตั้งใจการทำงานของ คสช. เขาก็รับปาก ในส่วนของแกนนำ นปช.ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว แต่ยืนยันว่าเขามีความเป็นอยู่ที่ดี กินได้ นอนหลับ ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมีการปล่อยตัวออกมา แต่คนที่คดีติดตัวจะต้องถูกดำเนินคดีต่อ สำหรับคนที่ถืออาวุธสงครามถือว่าเป็นโจร ก็ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ในส่วนของทหารเองมีหน้าที่ในการป้องกันตัว แต่ได้กำชับไปว่าจะไม่ให้ใช้อาวุธกระทำกับใครก่อน สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือประชาชนถูกยุยงปลุกปั่นผ่านสื่อต่างๆ อยากให้ใช้สติในการเสพข้อมูลข่าวสาร เพราะมีข่าวลือเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ในส่วนของการควบคุมสื่อเป็นการให้ติดตามดูพฤติกรรม ไม่ได้สั่งให้มีการปิดสื่อ และขออย่าเสนอข่าวให้เกิดความแตกแยก” พล.ท.ธีรชัยกล่าว