xs
xsm
sm
md
lg

4 องค์กรสื่อแถลงจี้ กอ.รส.เลิกสั่งห้ามสัมภาษณ์ แนะโยน กสทช.ฟันดาวเทียมแทน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สมาคมนักข่าว นสพ.-สภาการ นสพ.-สมาคมนักข่าววิทยุทีวี และสภาวิชาชีพข่าววิทยุทีวี ออกแถลงร่วม ชี้คำสั่ง กอ.รส.กระทบ รธน.มาตรา 45 เหตุปิด 14 ทีวีดาวเทียม แนะโยน กสทช.จัดการแทน จี้เลิกสั่งห้ามสื่อสัมภาษณ์บางคน ขอประกาศเจตนารมณ์ให้ชัดไม่ขัดขวางการทำหน้าที่สื่อ วอนสมาชิกปฏิบัติตามหลักวิชาชีพเคร่งครัด

วันนี้ (21 พ.ค.) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ, สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์ร่วม ขอให้ กอ.รส.ทบทวนการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน โดยระบุว่า ตามที่กองทัพบกมีประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และได้มีประกาศคำสั่งออกมาหลายฉบับ เกี่ยวกับการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ประกอบด้วย คำสั่งฉบับที่ 3/2557 คำสั่งฉบับที่ 6/2557 คำสั่งฉบับที่ 7/2557 คำสั่งฉบับที่ 8/2557 และคำสั่งฉบับที่ 9/2557 นั้น

องค์กรวิชาชีพสื่อเห็นว่า คำสั่งของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) มีเนื้อหาที่กระทบกับสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ที่รับรอง “เสรีภาพแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาหรือการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น” อยู่หลายประการ จึงมีข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

1. คำสั่งฉบับที่ 6/2557 และคำสั่งฉบับที่ 7/2557 ของ กอ.รส.ซึ่งขอความร่วมมือให้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม 14 แห่ง และสถานีวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด ให้ระงับการออกอากาศจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงนั้น อาจมีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 45 วรรค 3 ที่บัญญัติว่า “การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่นๆ เพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพจะกระทำมิได้” ซึ่งเป็นบทบัญญัติห้ามฝ่าฝืนโดยเด็ดขาด นอกจากนั้น ความในวรรคต่อมา ที่บัญญัติว่า “การห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมดหรือบางส่วน หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ซึ่งต้องบังคับใช้ด้วยความระมัดระวังให้มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนน้อยที่สุด

ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและสถานีวิทยุที่นำเสนอเนื้อหาทางการเมืองบางสถานี ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง มีการถ่ายทอดสดการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งมีการปราศรัยหรือ อภิปราย ซึ่งบางครั้งมีลักษณะเป็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) ขาดความตระหนักถึงการใช้เสรีภาพบนความรับผิดชอบ จนอาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้

ดังนั้น กอ.รส. ควรใช้โอกาสนี้ขอความร่วมมือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการกำกับดูแลให้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและสถานีวิทยุชุมชนต่างๆ ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 อย่างเคร่งครัด โดยกำหนดให้แต่ละสถานีมีผังรายการที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมให้มีการตระหนักถึงหลักการ “เสรีภาพบนความรับผิดชอบ” และขอเรียกร้องให้ กอ.รส.พิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้อำนาจสั่งปิดสื่อที่อาจเข้าข่ายก่อให้เกิดการขยายความขัดแย้ง บิดเบือน และสร้างความสับสนให้กับสังคม ซึ่งเป็นการลิดรอนเสรีภาพสื่อมวลชนอย่างรุนแรง

2. ขอเรียกร้องให้ กอ.รส.ยกเลิกคำสั่งฉบับที่ 9/2557 ที่ห้ามเชิญบุคคลให้สัมภาษณ์ หรือแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อประเภทต่างๆ โดยทันที เพราะถือเป็นการจำกัดเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นและไม่สอดคล้องกับหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ต้องยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและกองบรรณาธิการสื่อต่างๆ ก็มีดุลพินิจที่จะเชิญบุคคลให้แสดงความเห็นหรือสัมภาษณ์ที่ไม่นำไปสู่การขยายความขัดแย้งและความรุนแรงได้อยู่แล้ว

3. องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนเห็นว่าการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก มีผลกระทบต่อเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างกว้างขวาง ดังนั้น กอ.รส.ควรประกาศเจตนารมณ์ให้ชัดเจนว่าจะสนับสนุนและไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกแขนง พร้อมทั้งให้ความเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการนำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องครบถ้วนและรอบด้าน รวมทั้งเคารพเสรีภาพของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน และได้รับการยอมรับในสายตาของนานาชาติที่กำลังจับตามองความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้

4. ขอเรียกร้องมายังผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคนให้ตระหนักว่า ต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อ่อนไหว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อทุกแขนงต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการปฏิบัติงาน เพื่อจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด ตลอดจนทำงานด้วยความรับผิดชอบและยึดมั่นในหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพโดยเคร่งครัด


กำลังโหลดความคิดเห็น