xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : ปฏิบัติการ “น้ำผึ้งหยดเดียว” ของ ศอ.รส. จะจับแกนนำ กปปส.ไว้ที่ไหน?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธาริต เพ็งดิษฐ์
ทีมข่าวการเมือง ASTVผู้จัดการออนไลน์... รายงาน

ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส.รวม 30 คน ในคดีกบฏและความผิดอื่น รวม 8 ข้อหา เพื่อติดตามตัวมาดำเนินกระบวนการตามกฎหมายที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ มีความเห็นสมควรสั่งฟ้องไปเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

หลังอนุมัติหมายจับ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ ก็ออกมาสอดรับทันที ในฐานะเลขาธิการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) โดยระบุว่า พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ได้วางแผนจัดกำลังพร้อมเข้าจับกุมแกนนำที่ถูกศาลออกหมายจับแล้ว โดยจะเริ่มแผนปฏิบัติการทันที โดยการจับกุมจะยึดหลักหลีกเลี่ยงการปะทะเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย ซึ่งแนวทางการจับกุมจะเริ่มจากแกนนำที่ไม่มีกองกำลังติดอาวุธให้การคุ้มกันก่อน ส่วนกลุ่มที่มีกองกำลังของตัวเองจะรอจังหวะที่เหมาะสมรวบตัว

จากนั้นในช่วงเย็น พล.ต.อ.วรพงษ์ได้สั่งการผ่านวิทยุในราชการ ศอ.รส.ถึง พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.ในฐานะ ผบ.กกล.ศอ.รส. พร้อมด้วย ผบก.น.8, ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา, ภ.จว.อุดรธานี, สส.ภ. 3 (นครราชสีมา) และ ตชด.ภาค 3 ให้ส่งตัวข้าราชการตำรวจมาปฏิบัติหน้าที่เป็นชุดสืบสวน จับกุม ของ ศอ.รส. ประกอบด้วย พ.ต.ท.อภิรัตน์ ชาญอสิกุลพิทยา ผบ.ร้อย ตชด 116 ต.บ่อพลอย อ.บ่อไร่ จ.ตราด

ตามมาด้วย พ.ต.ท.จิรายุส วานิชกูล สว.อก.สภ.วังน้อย, พ.ต.ต.ปฐวี ก้อนวิมล สว.กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี, พ.ต.ต.วรา พงษ์สิริ สว.สส.สน.สมเด็จเจ้าพระยา, ร.ต.อ.วิวัฒนชัย คลื่นแก้ว รอง สว.กก.สส. 3 บก.สส.ภ.3 จ.นครราชสีมา, ด.ต.ทินกร ปัญญาชัยสิทธิ์ ด.ต.มานะ สุระชนม์ ด.ต.ภมร จันทร์บุญสิทธิ์ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี และ ส.ต.อ.มงคล งามบุญช่วย ผบ.หมู่ กก.ตชด.33 ค่ายสมเด็จพระบรมราชชนนี อ.สันทราย จ.เชียงใหม่

โดยให้มารายงานตัวต่อ พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. ในฐานะผู้ช่วย ผบ.กกล.ศอ.รส. ในวันนี้ (15 พ.ค.) เวลา 13.30 น. ณ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต

เป็นที่น่าสังเกตว่า ศอ.รส.ใช้ชุดสืบสวนตำรวจฐานเสียงพรรคเพื่อไทย และ นปช.จากเชียงใหม่ อุดรธานี และตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งอยู่แถบภาคอีสาน ในการจับกุมแกนนำ กปปส.เป็นหลัก

โดยเฉพาะดาบตำรวจ 3 คนที่มาจาก ภ.จว.อุดรธานี เป็นหนึ่งในทีมชุดสืบสวนที่ชื่อว่า “ชุดคมประจักษ์” ซึ่งขึ้นตรงกับ พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี นายตำรวจคนสนิทของ นายขวัญชัย สาราคำ หรือ “ขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดร แกนนำเสื้อแดงคนสำคัญที่ถูกยิงอาการปางตายก่อนหน้านี้

ก่อนที่ศาลอาญาจะอนุมัติหมายจับ พบว่าก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 พ.ค. พ.ต.ท.ณรงค์ ทาประดิษฐ รอง ผบก. ปฏิบัติราชการแทน ผกก. กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดน (ตชด.) ที่ 13 ค่ายพระพุทธยอดฟ้า ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ได้สั่งการผ่านวิทยุในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึง ผบ.ร้อย ตชด. 134-137 ซึ่งอยู่ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี และ จ.ราชบุรี

ตามที่ พล.ต.ต.สมจิตร กาญจนสันเทียะ บก.ตชด.ภาค 1 สั่งการให้ กก.ตชด.13 จัดเตรียมสถานที่ควบคุม กรณีจับกุมผู้ต้องสงสัยตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาควบคุมตัวที่ กก.ตชด.13 จึงให้ ร้อย ตชด.134-137 จัดกำลังพล หน่วยละ 1 หมู่ จำนวน 15 นาย เพื่อเป็นกองหนุน เตรียมพร้อม ณ ที่ตั้งหน่วย ปฏิบัติเมื่อสั่ง โดยให้ส่งบัญชีรายชื่อกำลังพลในวันเดียวกัน

จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า หากตำรวจหน่วยปฏิบัติการจับกุมที่ ศอ.รส.ส่งมาจับได้รอบนี้ จะไม่ได้ควบคุมตัวที่กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดนภาค 1 คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เหมือนเช่นเคยอีกแล้ว แต่จะจับส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปควบคุมตัวที่ กก.ตชด.13 ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ 125 กิโลเมตร นัยว่าเพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมหรือผู้สนับสนุน กปปส. ตามไปช่วยเหลือ ประกันตัว หรือกดดัน

ที่ผ่านมาจากคดีการจับกุมตัวนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท.เมื่อปลายปีที่แล้ว จะพบว่าการดำเนินการควบคุมตัวมีการโยนกันไปมาให้เหลือเพียง ตชด.ชั้นผู้น้อยซึ่งไม่มีอำนาจในการให้ประกันตัว จำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่เป็นคนตัดสินใจ ซึ่งทนายความต้องไปทำเรื่องประกันตัวที่ดีเอสไอ แต่พบว่าไม่มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน และไม่มีผู้อนุมัติวงเงินประกัน

หลังฝากขังที่ศาลอาญา ทนายความ คปท.ต้องมายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว กว่าที่นายพิชิตจะได้รับการประกันตัวด้วยวงเงินประกัน 1 แสนบาท ก็กินเวลา 3 วัน 2 คืน ที่นายพิชิตถูกกักขังอิสรภาพ

แม้โดยคำสั่งศาลอาญาจะระบุหมายเหตุไว้ในหมายจับด้วยว่า “เจ้าพนักงานมีอำนาจควบคุมผู้ถูกจับได้เพียงเท่าที่จำเป็นในการนำตัวส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น” แต่เนื่องจากเป็นคดีการเมือง ที่ฝ่ายอำนาจรัฐพยายามตั้งข้อหากบฎเพื่อรักษาอำนาจของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ประกอบกับความพยายามชนิดที่เรียกว่า “บ้าอำนาจ” ไล่ตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แม้กระทั่งนายธาริต อธิบดีดีเอสไอ ที่ถูกจับตามองว่า “เอาใจนาย” จนเกินอำนาจหน้าที่ และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการก่อตั้ง ศอ.รส. สวนทางกับเหตุร้ายต่อผู้ชุมนุม โดยเฉพาะการยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่พื้นที่ชุมนุม กปปส.แบบรายวัน

ปฏิบัติการจับกุมตัวแกนนำ กปปส.ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ด้วยสภาวะที่ “เหมือนไม่มีอะไรก็สุญญากาศ” เที่ยวนี้ จึงเป็นที่จับตามองว่า อาจจะมีการกระทำเกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะแนวคิดการใช้หน่วยอรินทราชในการบุกจับกุมตัวแกนนำ กปปส. คนสำคัญ รวมทั้งอาจพัฒนาไปสู่การสลายการชุมนุมที่มีความรุนแรง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นจนเกิดความสูญเสียมาแล้วหรือไม่

และจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวไปสู่ “สงครามกลางเมือง” เพราะการลุแก่อำนาจ กระทำการเกินกว่าเหตุของ ศอ.รส. เสียเองหรือไม่ เป็นสิ่งที่สังคมควรจับตามองอย่างยิ่ง


กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดนที่ 13 ซึ่งคาดว่าเป็นสถานที่ควบคุมตัวแกนนำ กปปส.
“ประยุทธ์” วอนคู่ขัดแย้งเสียสละบ้าง ทุกอย่างจะจบ ต้องถอยฟัง กม. ปัดใช้กฎอัยการศึก
“ประยุทธ์” วอนคู่ขัดแย้งเสียสละบ้าง ทุกอย่างจะจบ ต้องถอยฟัง กม. ปัดใช้กฎอัยการศึก
ผบ.ทบ.เรียกร้องคู่ขัดแย้งเสียสละ ยอมถอยบ้าง ทุกอย่างจะสงบ บ้านเมืองเดินหน้าได้ เชื่อสู้บนถนนไม่มีวันจบ ต้องถอยมาฟังกฎหมาย จี้ “กปปส.-แก๊งแดง” คุมม็อบให้อยู่ อย่ายั่วยุจนเกิดการปะทะ พร้อมตั้งจุดตรวจรอบม็อบแดง ขณะเดียวกันวอนหยุดอ้างศาลไม่เป็นธรรม อย่าคิดทหารมีอำนาจนอกระบบ ขอเลิกเอาแต่ใจ ใช้คนหมู่มากตัดสิน ติงคนไทยเหมือนศิลปิน ใช้แต่อารมณ์เป็นหลัก ยันไม่ใช้ยาแรงประกาศกฎอัยการศึก บอกหากคนไข้ดื้อยาอะไรก็เอาไม่อยู่ พร้อมสั่งสอบคดีตำรวจบุกจับทหารจนเสียชีวิตทำเกินกว่าเหตุหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น