เผย 3 เหตุ กกต.ถกขอรัฐบาลเพิ่มข้อความให้มีการออก พ.ร.ฎ.เลื่อนวันเลือกตั้งไว้ในร่าง พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ พร้อมระบุหากไม่ชัดเจนปมผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ เตรียมเสนอชง คกก.กฤษฎีกาชุดใหญ่พิจารณาก่อน กกต.พิจารณาอีกรอบ ถ้าเห็นต่างเตรียมยื่นศาล รธน.วินิจฉัย ขณะเดียวกันยังไม่เห็นชอบย้าย “บิ๊กแจ๊ด” เหตุอยากรู้เหลือแค่ 4 เดือนเกษียณจำเป็นแค่ไหน เจ้าตัวเต็มใจหรือไม่
วันที่ 14 พ.ค. แหล่งข่าวจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ในการประชุม กกต.ที่ผ่านมาที่ประชุมได้มีการพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายทั้งในประเด็นว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีมีอำนาจทูลเกล้าฯ รับสนองพระบรมราชโองการ และรักษาการร่าง พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปหรือไม่ รวมทั้งประเด็นที่ กกต.จะให้การเพิ่มเติมข้อความว่า หากเกิดเหตุสุดวิสัยให้รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.เลื่อนวันเลือกตั้งตามที่ กกต.ร้องขอไว้ในมาตรา 4 ของร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว ที่ประชุมเห็นว่าในการจะไปหารือกับรัฐบาลนั้น กกต.ควรจะหารือในประเด็นเรื่องการบรรจุถ้อยคำในมาตรา 4 ก่อน โดย กกต.จะบอกถึงเหตุผลที่ กกต.เห็นว่าจำเป็นต้องมีการบัญญัติข้อความดังกล่าวไว้เพื่อหากเกิดปัญหาก็จะไม่ทำให้การเลือกตั้งสูญเปล่า ว่า 3 เหตุที่ กกต.มองว่าหากเกิดขึ้นจำเป็นต้องขอให้รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.เลื่อนวันเลือกตั้ง คือ 1. กรณีไม่สามารถทำให้เกิดการรับสมัคร ส.ส.ทั้ง 375 เขตเลือกตั้งได้ กกต.คาดว่าจะใช้เวลาแก้ปัญหาและเลื่อนวันเลือกตั้งจากเดิมไปประมาณ 1 สัปดาห์ 2. กรณีเกิดปัญหาเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปิดล้อมโรงพิมพ์บัตรเลือกตั้ง บัตรเลือกตั้งไม่สามารถกระจายไปยังหน่วยเลือกตั้งได้ กกต.คาดว่าจะใช้เวลาแก้ปัญหาและเลื่อนวันเลือกตั้งจากเดิมไปประมาณ 2 สัปดาห์ และ 3. กรณีลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด กกต.คาดว่าจะใช้เวลาแก้ไขปัญหาและเลื่อนวันเลือกตั้งจากเดิมไปประมาณ 1 เดือน โดยกรณีนี้ กกต.เห็นว่าไม่สามารถใช้มาตรา 78 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. สั่งระงับการลงคะแนนแล้วจึงค่อยไปจัดการลงคะแนนในภายหลัง เพราะจะเสี่ยงต่อการถูกตีความเป็นการเลือกตั้งล่วงหลังซึ่งการเลือกตั้งได้ในบางหน่วยเลือกตั้งในวันเลือกตั้งจะมีผลชี้นำการลงคะแนนล่วงหน้านอกเขตที่จัดขึ้นทดแทนได้
จากนั้น กกต.จึงจะมีการหารือในประเด็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมเห็นว่ารัฐบาลต้องตอบให้ได้ถึงความแตกต่างระหว่างกรณีที่รัฐบาลโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นรองประธานรัฐสภา ที่จะรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ.เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญของรัฐสภาเพื่อถอดถอนบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 273 ได้ว่าแตกต่างอย่างไรกับการที่รัฐบาลโดยคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการทูลเกล้าและรับสนองพระบรมราชโองการร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง โดยหากทั้ง 2 ประเด็นรัฐบาลยังมีความไม่ชัดเจน กกต.ก็จะเสนอให้มีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย 100 กว่าคนได้พิจารณา หากได้ผลอย่างไร กกต.จึงมีการพิจารณาอีกครั้ง และถ้า กกต.มีความเห็นแตกต่าง ก็จะมีการเสนอทั้ง 2 ประเด็นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยโดยใช้ช่องทางความขัดแย้งระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 214
ส่วนกรณีที่ กกต.ยังไม่มีมติเห็นชอบโยกย้าย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และให้ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภาค 5 มาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลนั้น ที่ประชุมก็เห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 181 กำหนดให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทำได้เท่าที่จำเป็น ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เหลืออายุราชการเพียง 4 เดือน อีกทั้งขณะนี้เป็นช่วงนอกฤดูกาลโยกย้าย ดังนั้นการโยกย้ายดังกล่าวมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร และ พ.ต.ท.คำรณวิทย์เต็มใจหรือไม่ รวมทั้งมี กกต.บางคนตั้งข้อสังเกตว่าพื้นที่ภาค 5 ที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะย้ายไปดำรงตำแหน่งนั้น เป็นพื้นที่ฐานเสียงของบางพรรคการเมือง การย้ายจึงอาจเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้แก่พรรคการเมือง จึงให้มีการเชิญ ผบ.ตร.มาชี้แจงในวันที่ 20 พ.ค.