ผ่าประเด็นร้อน
เริ่มเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นอย่างน่าสนใจแล้ว หลังจากที่ประชาชนในนามของกลุ่ม กปปส. ที่นำโดย กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศดีเดย์เผด็จศึกขับไล่ระบอบทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หมดความชอบธรรม ทั้งทางกฎหมายและหมดความชอบธรรมทางการเมืองให้พ้นไป ล่าสุด ได้ย้ายสถานที่การชุมนุมจากสวนลุมพินีมาปักหลักอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ ถนนราชดำเนินนอก
การประกาศดีเดย์เผด็จศึกดังกล่าวของ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนยันว่า คราวนี้ “ต้องจบ” จะไม่ยืดเยื้อต่อไปอีกแล้ว ขณะเดียวกัน ได้เรียกร้องให้บรรดาผู้นำองค์กรสำคัญ เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ร่วมกันหาทางออกให้กับบ้านเมือง โดยเฉพาะการเฟ้นหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อมาทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
ซึ่งว่าที่ประธานวุฒิสภา โดย สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ได้ตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าวทันที นัดประชุมสมาชิกวุฒิสภานอกรอบเพื่อหารือเพื่อหาทางออก ขณะเดียวกัน เขายังได้เปิดเผยว่าหลังจากนี้จะได้นัดหารือกับประธานศาลต่างๆ ดังกล่าว รวมทั้งประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร
แต่การได้เห็นความกระตือรือร้นของ ว่าที่ประธานวุฒิสภา ในครั้งนี้ อย่างน้อยก็เป็นความหวังอันหนึ่งสำหรับการไขประตูไปสู่แสงสว่างข้างนอก และที่สำคัญเราก็ได้เห็นถึงความกล้าหาญของว่าที่ประธานวุฒิสภาคนนี้ เพราะแน่นอนว่าจะต้องถูกโจมตีจากฝ่ายที่เสียประโยชน์ เสียอำนาจ นั่นคือ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว รวมทั้งเครือข่ายลิ่วล้อทั้งหมด ต้องขัดขวางข่มขู่ทุกวิถีทาง
นาทีนี้แม้เรายังไม่อาจคาดหวังได้ว่าผลจะออกมาในทางบวกอย่างราบรื่น นั่นคือ ได้นายกฯคนใหม่เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ จะเกิดขึ้นในเวลารวดเร็ว โดยไร้อุปสรรค เพราะคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากฝ่ายระบอบทักษิณ ยังคงระดมกำลังเท่าที่มีขัดขวางอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายไม่ต่างกัน แม้ว่าในความเป็นจริงเรี่ยวแรงจะอ่อนล้าเบาบางเต็มที แต่ก็ถือว่าประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องบอกว่านี่คือความกล้าหาญ แทนที่จะวางเฉย ดูดายแบบธุระไม่ใช่ ซึ่งหากจะว่าไปแล้วการเข้ามาพิจารณาหาทางออกของวุฒิสภาคราวนี้ ก็ต้องถือว่ามีความเหมาะสมแล้ว อย่างน้อยก็เป็นตัวแทนของสถาบันนิติบัญญัติที่ยังเหลืออยู่ เป็นตัวแทนของประชาชน เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาชุดที่แล้วถูกชักนำให้กลายเป็นสภาทาส เป็นเครื่องมือของครอบครัวทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น
เมื่อได้ผลสรุปจากการหารือของวุฒิสภา ก็ต้องรอดูก่อนว่าจะได้เรื่องได้ราวแค่ไหนก่อน นั่นคือได้รับการสนับสนุนจากประชาชนแค่ไหนด้วย ก่อนที่นำไปหารือร่วมกับผู้นำองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้น หากผลออกมาจากวุฒิสภาได้รับการยอมรับ มันก็สามารถเดินหน้าต่อได้รวดเร็ว
ที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน ก็คือท่าทีของกองทัพหลังจากนี้จะออกมาในรูปแบบใด เพราะหากให้คาดเดาก็คงจะออกมาในลักษณะรอผลการหารือของวุฒิสภา และหากออกมาดีได้รับการยอมรับจากสังคมก็คงจะสนับสนุนให้เกิดการหารือร่วมกับผู้นำองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เมื่อทุกฝ่ายเห็นด้วย ฝ่ายกองทัพก็คงต้องถึงเวลากำหนดท่าทีให้ชัดเจนออกมาในตอนนั้น
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือการชุมนุมของ กปปส. เพื่อแสดงพลังสำหรับการปฏิรูปประเทศอย่างแข็งขันและเข้มข้น เพื่อใหัการหารือขององค์กรต่างๆ ดำเนินไปตามแนวทางที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ ซึ่งหากไม่ได้ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง หรือคนในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง เชื่อว่ามีความคิดเห็นไม่ได้ต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปจะต้องเกิดขึ้นจนได้ ซึ่งมันไม่ยาก ยกเว้นต้องการทำเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง พรรคการเมือง หากเป็นแบบนั้นมันก็ไม่จบ และที่สำคัญการเลือกตั้งแบบละลายงบประมาณแบบสูญเปล่าจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก
ดังนั้น นาทีนี้ทุกฝ่ายต้องมีความกล้าหาญร่วมกันเดินหน้าเพื่อหาทางออกให้บ้านเมือง โดยไม่ต้องไปสนใจพวกแก๊งทรราช ที่พยายามดันทุรังรักษาอำนาจทั้งที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีความชอบธรรมเหลืออยู่แล้ว ซึ่งต้องลุ้นผลการหารือของวุฒิสภาว่าจะออกมาแบบไหนเสียก่อน !!